แดงเชียงใหม่

กราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน Blog นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชน รุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา " แดงเจียงใหม่ " ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และ ในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม

เรา " แดงเจียงใหม่ " ขอเชิญชวนร่วมกันสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกัน


"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านมวลมหาประชาชน"

.

วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

** Blacklist! 212 คนสีแดง !!!!! **

** Blacklist! 212 คนสีแดง !!!!! **
http://konthaiuk.com/forum/index.php?PHPSESSID=80ac66e3b1eb878e698df6b93ae661ea&topic=9669.0

การเมืองไทยในปี 2553 จะถอยหลังก้าวเข้าสู่ยุคมืด ยุคทมิฬ มากขึ้นทุกที ย้อนกลับไปมืดมิดเสียยิ่งกว่ายุคเผด็จการทหารในอดีต หรือยุคทหารทำลายล้างทหารในอดีตเสียอีกการที่การเมืองของไทยต้องย้อนหลังกลับไปกว่า 50 ปี

ทั้งหมดล้วนเป็นผลงานกระบวนการทำลายล้างประชาธิปไตย ของกลุ่มอำมาตยาธิปไตย และนายทหารสาย คมช. ที่มุ่งทำลายล้างทางการเมือง ต้องการกำจัด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ให้กลับมาบนถนนการเมืองได้อีกต่อไป

จึงทำให้แม้แต่บรรดาคนรอบข้าง คนที่เกี่ยวข้องมีสายสัมพันธ์ หรือกระทั่งคนที่มีวิญญาณอิสระและเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริง ก็ถูกพุ่งเป้าหมายหัวไปตามๆ กันทั้งๆ ที่กลุ่มคนที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริง ออกมาแสดงการไม่ยอมรับระบบอำมาตยาธิปไตยที่ครอบงำประเทศชาติ

ล้วนแล้วแต่เป็นประชาชนคนไทยบนผืนแผ่นดินไทย ที่ไม่ได้แตกต่างหรือด้อยสิทธิ์ไปกว่าอำมาตย์คนใดๆ เลยและก็มีความจงรักภักดี และหวงแหนประเทศชาติไม่ได้น้อยไปกว่ากลุ่มคนที่พยายามอ้างความจงรักภักดีต่อชาติด้วยเช่นกัน

แต่วันนี้การใช้สิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ในการแสดงออกซึ่งสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่จะไม่เห็นด้วย และไม่ยอมรับกับพฤติกรรม 2 มาตรฐานของกลุ่มอำมาตยาธิปไตย ด้วยเห็นว่าเป็นการทำร้ายประเทศชาติอย่างสาหัสสากรรจ์ จึงออกมาเรียกร้องความยุติธรรม และต้องการหยุดยั้งอำนาจกลุ่มอำมาตยาธิปไตย

แต่กลับกลายเป็นถูกกลุ่มอำมาตยาธิปไตย หมายหัวว่าเป็นปรปักษ์ที่ต้องหาทางเล่นงานไปด้วยใครจะเชื่อว่าในปี พ.ศ. 2553 จะมีการทำรายชื่อบัญชีดำประชาชนคนไทยออกมามากมายถึง 212 รายชื่อ โดยออกมาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 ประเดิมศักราชกันเลยทีเดียวโดย 100 รายชื่อในชุดเครือญาติ คนใกล้ชิด นักการเมือง นักธุรกิจ นายทุน สื่อ ข้าราชการและอดีตข้าราชการ ไม่เว้นแม้แต่ตำรวจและทหาร ประกอบด้วย

1.นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์
2.นายพายัพ ชินวัตร
3.นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
4.พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์
5.นายบรรณพจน์ ดามาพงษ์
6.นางเยาวเรศ ชินวัตร
7.นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
8.พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย
9.นายนพดล ปัทมะ
10.นายชานนท์ สุวสิน
11.นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช
12.พล.ท.ปรีชา วรรณรัตน์
13.ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย
14.นายยงยุทธ ติยะไพรัช
15.คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
16.นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล
17.นายสมชาย สุนทรวัฒน์
18.นายโภคิน พลกุล
19.พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์
20.นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย
21.นายสุชน ชาลีเครือ
22.นายประเกียรติ นาสิมา
23.นางอรุณลักษณ์ กิจเลิศไพโรจน์
24.นายสุธา ชันแสง
25.นต.ศิธา ทิวารี
26.นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพท.
27.นายไพจิต ศรีวรขาน
28.นายสันติ พร้อมพัฒน์
29.นายปกรณ์ บูรณปกรณ์
30.นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล
31.นายสิทธิชัย กิตติธเนศวร
32.นายประชา ประสพดี
33.นายสามารถ แก้วมีชัย
34.นายประยุทธ มหากิจศิริ นักธุรกิจ (เนสกาแฟ)
35.นายวิทยา บูรณศิริ
36.นายอนันต์ อัศวโภคิน นักธุรกิจ (แลนด์แอนด์เฮ้าส์)
37.นายทนง พิทยะ อดีตรัฐมนตรีคลัง
38.นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม นักธุรกิจ (แกรมมี่)
39.นายประชา มาลีนนท์ นักการเมืองนักธุรกิจ (ช่อง 3)
40.นายบุญคลี ปลั่งศิริ อดีตผู้บริหารเครือชินวัตร
41.นายโอฬาร ไชยประวัติ อดีตนายแบงก์
42.นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ นักธุรกิจ(อิมพีเรียล)
43.นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ผู้บริหารมืออาชีพ
44.นายโอฬาร กิจเลิศไพโรจน์ อดีตเลขาธิการ พท.
45. นายปลอดประสพ สุรัสวดี
46.พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ อดีตรอง ผบ.ทบ.
47.นายสุชาติ ลายน้ำเงิน
48.พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
49.นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย
50.พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา อดีต ผบ.ทอ.
51.นายเรวัตร ฉ่ำเฉลิม อดีตอัยการสูงสุด
52.พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อดีตอธิบดี DSI และรองปลัดกระทรวงยุติธรรม
53.นายดำรง พิเดช อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ
54.นางลัดดาวัลย์ วงศ์ศรีวงศ์
55.นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง
56.พล.ท.สีห์ศักดิ์ เกตุสุริยงศ์ อดีต ผช.เจ้ากรมสื่อสารทหาร
57.นายดุษฎี สินเจิมสิริ อดีตอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์
58.นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร
59.พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ อดีต ผบ.สส.
60.พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผบ.ตร.
61.นายสุชาติ ธาดาธำรงค์เวช อดีตรัฐมนตรีคลัง
62.พล.ต.ท.วินัย ทองสอง อดีต ผบ.ก.ป.
63.นายสาโรช คัชมาตย์ อดีตอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
64.พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต
65.พล.ต.พฤณฑ์ สุวรรณทัต
66.พล.อ.พรชัย กรานเลิศ
67.พล.ต.ต.พีรพันธุ์ เปรมภูติ
68.พล.ต.ท.สถาพร ดวงแก้ว
69.พล.ต.ท.สถาพร หลาวทอง
70.พ.ต.ท.สำเนียง ลือเจียงคำ
71.พล.ต.ต.โกสินทร์ หินเธาว์
72.พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา
73.พล.ต.ท.ชัยยันต์ มะกล่ำทอง
74.นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
75.นายจาตุรนต์ ฉายแสง
76.นายภูมิธรรม เวชยชัย
77.นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา
78.นายเกรียงกมล เลาหไพโรจน์
79.นายวราเทพ รัตนากร
80.พ.ต.อ.สมชาย เพศประเสริฐ
81.พล.อ.อ.สุเมธ โพธิมณี
82.พล.ท.มะ โพธิงาม
83.นายวิศาล เดชะธีราวัฒน์
84.นายกันตธีร์ ศุภมงคล
85.พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค
86.พล.ท.มนัส เปาริก
87.พล.ต.ท.วัช บุญเมือง
88.พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว
89.นายเฉลิมพล สนิทวงศ์
90.นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล
91.พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ
92.นางสาวสุณีย์ เหลืองวิจิตร
93.นายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์
94.พล.ต.ต.วิทูรย์ คลังพลอย
95.พล.อ.อำนวย ถิระชุณหะ
96.นางทัสน์วรรณ มุสิกบุญเลิศ
97.นายฐิติมา ฉายแสง
98.นายกมล บันไดเพชร
99.พล.ร.ท.สิวิชัย สิริสาลี อดีตผบ.นาวิกโยธิน และ
100.พล.อ.อ.สมชัย พละพงศ์

ในขณะที่อีกบัญชี ถูกระบุว่าเป็นเครือข่ายระบอบทักษิณ มีจำนวนทั้งสิ้น 101 รายชื่อ แบ่งเป็นแกนนำ นปช. ชุดที่ 1 คือ
1.นายวีระ มุสิกพงศ์
2.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
3.นายจตุพร พรหมพันธุ์
4.นายจักรภพ เพ็ญแข
5.นพ.เหวง โตจิราการ
6.นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย
7.นายจรัล ดิษฐาอภิชัย
8.พ.อ.ดร.อภิวันท์ วิริยะชัย
9.นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับแกนนำ นปช. ชุดที่ 2 (ชุดรักษาการ)
10.ผศ.ดร.เมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์
11.นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ (แซ่ด่าน)
12.นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ
13.นายชินวัตร หาบุญพาด
14.นายก่อแก้ว พิกุลทอง
15.นายสุชาติ นาคบางไทร
16.นายสมบัติ บุญงามอนงค์
17.นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข
18.นายสรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน
19.นายอดิศร เพียงเกษ
20.นายอิรสมันต์ พงษ์เรืองรอง
21.นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์
22.นายพายัพ ปั่นเกตุ
23.นายไวพจน์ อาภรณ์วัตน์
24.นายการุณ โหสกุล
25.น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ
26.นายนิสิต สินธุภัย
27.พล.ต.ท.ชัชจ์ กุลดิลก
28.นายสมชาย ไพบูลย์
29.นายวิสา คัญทัพ
30.นายประชาธิปไตย คำสิงห์นอก
31.นาง ไพจิตร อักษรณรงค์
32.นางธิดา โตจิราการ
33.นายสุทิน คลังแสง
34.นายเกียรติกร ภาคเพียรศิลป์
35.นายสุรชัย ด่านวิบูลชัย
36.นายวันชนะ เกิดดี
37.นายสะอาด จันทร์ดี
38.นายชูเกียรติ ด้วงชนะ
39.นายเสถียร วิพรมหา
40.นายบุญทัน ดอกไธสง
41.นายวรพล พรหมิกบุตร
42.นายศิลป์ ราศี
43.นายสิงห์ทอง บัวชุม
44.นายจารุพันธ์ กุลดิลก
45.นางดารุณี กฤตบุญญาลัย
46.นายขวัญชัย ไพรพนา
47นายสุธรรม แสงประทุม
48.นางสาวศุภรัตน์ นาคบุญนำ
49.นายเมธี อมรวุฒิกุล
50.นายเจ๋ง ดอกจิก
51.นายคารม พลทกลาง
52.นายพิชา วิจิตรศิลป์
53.นุช พจมาน
54.มุข เมธิณี
55.นายธีระเพชร ศิริกุล
56.นายเพชรวรรด
57.ดีเจอ้อม ชมรมรักเชียงใหม่ 51
58.นายวัชรพงศ์ คงมั่น
59.นายวรชัย เหมะ
60.นายเสงี่ยม สำราญรัก
61.นายจารุพงษ์ เรืองสุวรรณ
62.นายบุญเลิศ จาวิโรจน์
63.นายสำเริง เกษมรัตน์
64.นายจิรายุ ห่วงทรัพย์
65.นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ์
66.นายสุนา หินแก้ว
67.นางสาววิสาระดี เตชะธีระวัฒน์
68.นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง
69.นายภิญญา ช่วยปลอด
70.นายอภิชาต ทันพุฒ
71.นายวิบูลย์ แช่มชื่น
72.นางศิริวรรณ แกนนำอเมริกา
73.นายสุนัย จุลพงศธร
74.นายลักษณ์ เรขานิเทศ
75.นายรัตนพล ส.วรพิน
76.นายอรรถชัย อนันตเมฆ
77.นายคำสิงห์ ศรีนอก
78.นายจิ้น กรรมาชน
79.นายสันต์ หัตถีรัตน์
80.นายประสิทธิ์ ค่ายกนกวงศ์
81.นางสุนันทา ธรรมธีระ
82.นายทรงชัย วิมลภัตรานนท์
83.นายพันธ์ศักดิ์ ซาบุ
84.นายรัญ กอทอมอ FM94.75
85.นายเสนอ FM 95.25
86.นายพีระ FM 97.25
87.พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี
88.พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล
89.พล.ต.ต.ไพฑูรย์ เชิดมณี
90.พล.ต.สุชาติ กาญจนวิเศษ
91.พล.ต.เกรียงศักดิ์ รักษาสัตย์
92.พล.ต.ต.ชวลิต มโนสุนทร
93.พล.ต.ต.จรัญ ชิตะปัญญา
94.พล.ต.ต.บุญเลิศ นันทวิสิทธิ์
95.พล.ต.ต.ชัยชาญ กิติจันทร์
96.พ.ต.อ.พลสันต์ พันธ์อาทิตย์
97.พ.ต.อ.เสนาะ เขมะประภา
98.น.ต.สมหมาย พงษ์ประยูร
99.ร.อ.นิพนธ์ งามเสน่ห์
100.พ.ต.อ.ชูเกียรติ ด้วงชนะ
101.พ.ต.ท.เสงี่ยม สำราญรัก

ที่สำคัญและน่าจะช็อกสังคมอย่างหนักก็คือ แม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้า บัญชีดำชุดนี้ก็ยังไม่ยกเว้น เพราะมีการระบุ รายชื่อพระสงฆ์ที่เคลื่อนไหวทางศาสนาที่ควรเฝ้าระวัง ไว้ด้วยถึง 11 รูป คือ

1.พระธรรมกิตติเมธี วัดสัมพันธวงศ์
2.พระธรรมสุธี วัดมหาธาตุ
3.พระธรรม วัดประยูรวงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์
4.พระธรรมสิทธินายก วัดสระเกศ
5.พระธรรมคุณาภรณ์ วัดสามพระยา
6.พระเทพวิสุทธิกวี วัดโสมนัสวิหาร
7.พระเทพปริยัติวิมล วัดบวรนิเวศ อธิการบดี มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
8.พระราชญาณวิสิฐ์ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ราชบุรี
9.พระสิทธินิติธาดา วัดมหาธาตุ
10.พระครูสังฆวินัย วัดมหาธาตุ
11.พระมหาโชว์ ทัสสนีโย วัดชนะสงคราม

อีกทั้งยังมีหมายเหตุถึง กลุ่มพระสงฆ์ในเครือข่าย มจร. บางส่วนที่เคลื่อนไหวในต่างจังหวัดและกทม. (กลุ่มที่ดำเนินการทางด้านศาสนาในสายพระครูสังฆพินัย) อีก 6 รูป โดยไม่ระบุชื่อเป็นรายชื่อที่สร้างความตกตะลึง และช็อกอย่างรุนแรงให้กับผู้ที่พบเห็นเอกสารบัญชีดำดังกล่าว ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน?

เพราะจริงๆแล้วหากจะเหมารวมรายชื่อผู้ที่มีจิตใจประชาธิปไตยเช่นนี้ คงต้องมีคนไทยกว่าครึ่งประเทศ มีพระภิกษุสงฆ์อีกจำนวนกว่าครึ่งของวัดที่มีทั่วประเทศตัณหาของอำนาจและผลประโยชน์การเมืองกำลังทำให้กลุ่มอำมาตยาธิปไตย แสดงพฤติกรรมด้านมืดและความคักดานทางความคิดออกมาให้สังคมไทย
ประจักษ์ชัดมากขึ้นทุกทีนี่คิดจะแบ่งแยกประชาชนกันจริงๆหรือ???

.

วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

คำประกาศแดงสยาม โดย นายจักรภพ เพ็ญแข

คำประกาศแดงสยาม
วันพฤหัสบดีที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๓
โดย นายจักรภพ เพ็ญแข

แดงสยามกำเนิดขึ้นในเมืองไทยแล้ว ตามสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของปวงชนชาวไทย โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใด คนไทยทุกคนที่เคารพในตนเองและผู้อื่น ด้วยจิตใจอันเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง คือสมาชิกโดยธรรมชาติของแดงสยาม

นานมาแล้วที่คนไทยถูกปฏิเสธสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยตกเป็นเครื่องมือของการโฆษณาชวนเชื่อด้วยอำนาจรัฐแบบเผด็จการ จนลุ่มหลงในทิศทางอันเป็นมิจฉาทิฏฐิ ระบบใดๆ ที่ถูกสร้างข้ึนมาในระบอบอันฉ้อฉล ย่อมนำมาซึ่งความเสื่อมทั้งของสังคมและสมาชิกทุกผู้ทุกนาม

เราถูกทำให้เชื่อว่าคนไทยไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลง ทั้งๆ ที่ความเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ทางประวัติศาสตร์และปรัชญาพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย
เราถูกทำให้เชื่อว่าประชาธิปไตยเป็นสิ่งเลวร้าย พรรคการเมืองไม่ใช่ทางออก สู้ระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตยไม่ได้

เราถูกทำให้เชื่อว่าเศรษฐกิจอุปถัมป์แบบอำมาตย์เป็นครรลองหลักของวิถีไทย ทั้งๆ ที่ผู้ชี้นำดำรงสภาพอยู่ในทุนนิยมชนิดล้าหลังและกำปัจจัยที่บันดาลความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจไว้ทั้งหมด

เราถูกทำให้เชื่อว่าเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยแล้ว ทั้งๆ ที่กองทัพ ตุลาการ พรรคการเมือง ระบบราชการ ระบบการศึกษา สื่อมวลชน เป็นต้น ล้วนสนับสนุนความเป็นเผด็จการแทบทุกมิติ

แดงสยามต้องการให้ปวงชนชาวไทยได้รับสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยต่อสู้เพื่อให้เกิดประชาธิปไตยแท้จริงขึ้นในบ้านเมืองและจะต่อสู้โดยไม่หยุดยั้งถึงจะใช้เวลานานขนาดข้ามรุ่นข้ามสมัย
โดยประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้น ต้องมีปัจจัยชี้ขาดดังต่อไปนี้


๑. อำนาจสูงสุดต้องเป็นของปวงชนชาวไทย
๒. บุคคลต้องมีเสรีภาพอันบริบูรณ์
๓. สังคมต้องเสมอภาค
๔. กฎมายต้องศักดิ์สิทธิ์และเป็นธรรมด้วยมาตรฐานเดียวกัน
๕. ผู้ถืออำนาจรัฐแทนประชาชนต้องมาจากการเลือกตั้ง


ขอเชิญปวงชนชาวไทยได้ตื่นขึ้นรับความสว่างอันเกิดขึ้นจากระบอบประชาธิปไตย และเห็นความมืดมนของฝ่ายเผด็จการที่ครอบงำสังคมไทยมาจนกระทั่งปัจจุบัน เพื่อสร้างสังคมประชาธิปไตยแท้จริงขึ้นเพื่อตัวเราและปวงชนชาวไทยรุ่นต่อๆ ไป

นี่คือภารกิจ “แดงสยาม”

.

ประชาชนไทย เมื่อใดพวกเจ้าจะคิดปลดแอกออกจากไหล่เสียที

.
กฎหมายของไทย มีสองมาตรฐาน

สำหรับพวกพ้องตัวเอง และสำหรับศัตรู

ประชาธิปไตยของไทย ก็มีสองมาตรฐาน

สำหรับผู้ดีอำมาตยาทหาร และสำหรับประชาชน

ที่ผ่านมากฎหมายและประชาธิปไตยของไทย ใช้สำหรับกดหัวประชาชน

ประชาธิปไตยของประชาชน ยังไม่เกิดขึ้นได้จริงในประเทศนี้

ทักษิณก็แค่ประชาชนคนหนึ่งเท่านั้น ก็แค่หัวหน้าไพร่ที่ต้องลบออกไป

ประชาชนไทย เมื่อใดพวกเจ้าจะคิดปลดแอกออกจากไหล่เสียที
.

เมื่อตุลาการภิวัฒน์ คือรัฐประหารโดยตุลาการ

เมื่อตุลาการภิวัฒน์ คือรัฐประหารโดยตุลาการ
ฤทธิ์ วิษณุ
ผลจากการเข้าสู่วังวนแห่งอำนาจของตุลาการ ทำให้เราได้เห็นชัดเจนมากขึ้นว่า พวกเขาได้กลายเป็นผู้สมคบคิดกับอำนาจเผด็จการ ใช้โมหาคติแสดงพฤติกรรมอย่างชัดเจนต่างกรรมต่างวาระว่า นอกจากไม่ได้นำความรู้และปัญญามาทำให้ประเทศชาติรอดพ้นจากวิกฤตทางการเมืองชั่วขณะแล้ว พวกเขายังสมอ้างใช้อำนาจเข้าแย่งยึดอำนาจรัฐมาเป็นของตนเองอย่างน่าละอาย


นับแต่การเปลี่ยนแปลงพ.ศ.2475 โดยคณะราษฎร ซึ่งได้ตัดสินใจนำเอารูปแบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่มีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุขเข้ามาใช้ในการพัฒนาทางการเมืองของประเทศไทย แม้จะมีการแบ่งอำนาจอธิปไตยออกเป็น 3 อำนาจคืบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ แต่อำนาจหลังสุดนี้ ดูเหมือนจะทำหน้าที่เป็นเพียงแค่อำนาจในระบบตรวจสอบและรองรับอำนาจอื่นมาโดยตลอด ไม่มีอำนาจในการถ่วงดุลแต่อย่างใด

ผู้คนในวงการตุลาการต้องเคยชินกับการถูกเก็บกด ตกเป็นเบี้ยล่างทางอำนาจมาโดยตลอดหลายทศวรรษ เพราะมีบทบาทเป็นเพียงแค่ผู้ใช้ หรือ แสดงอำนาจภายใต้กรอบของกฎหมายที่ถูกกำหนดหรือขีดเส้นให้ตีความได้ตามตัวบทจากอีกสองอำนาจมาโดยตลอด ไม่สามารถเป็นตัวกระทำเพื่อสร้างความยุติธรรมทางสังคมขึ้นมาได้ สถาบันตุลาการกลายเป็นสถาบันที่คร่ำครึ แม้จะดูศักดิ์สิทธิ์จากภายนอกก็เป็นเพียงแค่พิธีการเท่านั้น

แล้ววันหนึ่ง ฟ้าก็เปิดให้ เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 ซึ่งอยู่ในจังหวะที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่วิกฤตทางการเมือง เพราะอำนาจบริหารและนิติบัญญัติไม่สามารถทำงานต่อไปได้ โดยพระราชดำรัสซึ่งพระราชทานให้แก่ศาลปกครองสูงสุดและศาลฎีกา เพื่อนำประเทศให้พ้นจากวิกฤต “....ที่จะทำให้บ้านเมืองล่มจม บ้านเมืองไม่สามารถที่จะรอดพ้นจากสถานการณ์ที่ไม่ถูกต้อง” ซึ่งถือว่า เป็นการใช้อำนาจตุลาการในฐานะอำนาจอธิปไตยโดยองค์พระประมุขเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญของไทย

ปรากฏการณ์ดังกล่าว มีคนพยายามให้คำอธิบายว่าเป็น ตุลาการภิวัฒน์ เพื่อขยายพื้นที่แห่งความยุติธรรมให้กว้างขวางขึ้นในระหว่างที่เกิดสุญญากาศทางอำนาจในห้วงระหว่างยุบสภาของรัฐบาลทักษิณ

ปรากฏการณ์ที่ติดตามมา ได้แก่ หัวขบวนกลุ่มหนึ่งของสถาบันตุลาการได้กระจายตัวกันเข้าสู่วังวนเกลือกกลั้วกับอำนาจทางการเมืองในหลายองค์กร เข้ายึดกุมหรือร่วมสมคบคิดในองคาพยพอย่างจริงจัง เสมือนหนึ่งปีศาจ 108 แห่งเขาเกาเล่งซัว(ในพงศาวดารจีนเรื่อง ซ้องกั๋ง)ที่หลุดออกจากที่คุมขังมาเป็นเวลานาน โดยไม่ใส่ใจหรือแยแสกับคำเตือนของผู้ที่ปรารถนาดีต่อวงการตุลาการว่า การกระทำนั้นอาจเปิดช่องให้นำไปสู่การล้ำเส้นของ “ตุลาการธิปไตย” หรือการปกครองโดยฝ่ายตุลาการ(Judicial Rule) ซึ่งล้ำเกินกรอบของการตรวจสอบเชิงหลักกฎหมายของฝ่ายตุลาการและสุ่มเสี่ยงต่อการที่บุคคลซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้งจะเข้าแทนที่เสียงข้างมากในฐานะกลไกตามระบอบประชาธิปไตย เพื่อใช้อำนาจแบบเลยเถิดตามกระแสอารมณ์วูบไหวชั่วครู่ชั่วยามของการต่อสู้ทางการเมือง

ผลจากการเข้าสู่วังวนแห่งอำนาจของตุลาการ ทำให้เราได้เห็นชัดเจนมากขึ้นว่า พวกเขาได้กลายเป็นผู้สมคบคิดกับอำนาจเผด็จการ ใช้โมหาคติแสดงพฤติกรรมอย่างชัดเจนต่างกรรมต่างวาระว่า นอกจากไม่ได้นำความรู้และปัญญามาทำให้ประเทศชาติรอดพ้นจากวิกฤตทางการเมืองชั่วขณะแล้ว พวกเขายังสมอ้างใช้อำนาจเข้าแย่งยึดอำนาจรัฐมาเป็นของตนเองอย่างน่าละอาย

หัวขบวนตุลาการเหล่านี้ที่เคยถูกจำกัดการมีส่วนร่วมใช้อำนาจอย่างขาดตกหกหล่น สมอ้างเอาหลักการเรื่อง ตุลาการตีความก้าวหน้า (Judicial Activism) เพื่อขยายอัตตาและอำนาจของกลุ่มตนเองอย่างเป็นระบบ ทั้งลงมือร่วมสร้างกฎหมายและตีความกฎหมายตามกรอบวิธีคิดของตนเองอย่างเกินเลยด้วยการก้าวข้ามหลักกฎหมายเพื่อการตรวจสอบมาสู่การใช้อำนาจรัฐโดยตรง

สิ่งที่คนเหล่านี้เคยกล่าวหาว่า รัฐบาลทักษิณได้กระทำการหลอมรวมอำนาจ(Fusion of powers) เพื่อสร้างอำนาจเผด็จการรูปแบบใหม่นั้น บัดนี้ กลับกลายเป็นสิ่งที่พวกเขากำลังลงมือกระทำเสียเองอย่างทุศีลและไร้นิติธรรมอย่างเต็มที่

กลุ่มตุลาการกระหายอำนาจที่เคยถูกกำหนดให้ใช้กฎหมายซึ่งคนอื่นเขียนให้เกิดกิเลสแห่งอำนาจตรวจสอบเกินพอดี มาสู่การกำหนดตัวรัฐฐาธิปัตย์เสียเอง และได้ลงมือร่วมกระทำ นับแต่กรณีหักดิบหลักกฎหมายในกรณีใช้กฎหมายย้อนหลังเป็นโทษในการยุบพรรคไทยรักไทย มาถึงการทำหูหนวกตาบอด มองไม่เห็นว่า วีซีดี.ของนายพลจากกองทัพที่สั่งกำลังพลใต้บังคับบัญชาไปลงคะแนนเลือกพรรคประชาธิปัตย์ หรือเอกสารลับคมช.เป็นความผิด ในขณะที่ตั้งหน้าตั้งตาเอาเป็นเอาตายกับการกระทำผิดเล็กๆ น้อยๆ ของนักการเมืองจากพรรคพลังประชาชนและพรรคอื่นๆ

จนท้ายที่สุด เมื่อพรรคดังกล่าว ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ซึ่งถือเป็นการแสดงเจตนารมณ์ตามหลักประชาธิปไตยของปวงชน และตั้งรัฐบาลผสมขึ้นมาได้ พวกตุลาการก็ร่วมสมคมคิดหาสาเหตุยุบพรรคกันไปเลย

การแสดงพฤติกรรมในลักษณะของการตรากฎหมายประหนึ่งอำนาจนิติบัญญัติหรือมีลักษณะของการกำหนดนโยบายทางสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ฯลฯ ประหนึ่งอำนาจบริหารของกลุ่มตุลาการกระหายอำนาจในยามที่บ้านเมืองกำลังเดินออกจากภาวะวิกฤต และสถานการณ์ทางการเมืองกลับเข้าสู่ปกติ ขณะที่ทหารในกองทัพได้ทิ้งอำนาจรัฐประหารเพื่อกลับเข้าสู่กรมกอง เพื่อให้กระบวนการประชาธิปไตยเดินหน้า แสดงตัวโดยเปิดเผยว่า บัดนี้พวกเขาได้เคลื่อนพลเข้ายึดกุมกลไกรัฐแทนที่กองทัพเป็นที่เรียบร้อย โดยการละเมิดหลักการเรื่อง จิตวิญญาณของกฎหมาย(Spirit of law)อย่างไร้ยางอาย

ตุลาการภิวัฒน์ ได้เปลี่ยนสีแปรธาตุเป็นการรัฐประหารรูปแบบใหม่ ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ครั้งแรกของโลกไปเสียแล้ว นั่นหมายถึงพวกเขาได้สร้างวิกฤตทางการเมืองขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่เพื่อแก้วิกฤตที่จบลงไปแล้ว

พฤติกรรมแหกคอกของตุลาการกระหายอำนาจจำนวนน้อยเหล่านี้ ไม่เพียงแต่ทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันตุลาการเท่านั้น พวกเขายังกระทำการละเมิดพระราชดำรัสที่พระราชทานมาเมื่อวันที่ 25 พ.ค.2549 อย่างไม่มีชิ้นดี ถือเป็นการจัดการงานนอกสั่งที่สุดบังอาจ

เราจะต้องเปิดโปงและหาทางหยุดยั้งพฤติกรรมกระหายอำนาจ และสมอ้างจัดการงานนอกสั่งของตุลาการเหล่านี้โดยเร็วที่สุด ก่อนที่ประชาธิปไตยจะถูกย่ำยีมากกว่านี้

Meeting Democracy For Deang Chiangmai

Meeting Democracy For Deang Chiangmai

ขอเชิญเพื่อนพ้องน้องพี่ “ นักรบไซเบอร์ ” ทุกๆท่าน
ร่วมงาน สังสรรค์ประชาธิปไตยเพื่อหัวใจสีแดงเพื่อหาทุนให้ ศูนย์ประสานงานกลาง นปช. แดงเชียงใหม่ ใช้ดำเนินกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตย

วันเสาร์ ที่ 6 มีนาคม 2553 เวลา 15.00 น เป็นต้นไป

ณ. ร่มเย็นการ์เดนรีสอร์ท ถนนเชียงใหม่-เชียงราย ซ.วัดวาลุการาม(ป่าแงะ)
ม.1 ต.ตลาดขวัญ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่

ราคาค่าอาหารและเครื่องดื่ม 150 บาท / ท่าน

ร่วมพูดคุย ทานอาหาร ร่วมกันกับเพื่อนพ้องน้องพี่ “ นักรบไซเบอร์ ”และร่วมบริจาคเงินสมทบทุนให้ ศูนย์ประสานงานกลาง นปช. แดงเชียงใหม่ ใช้ดำเนินกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตย

สำรองที่นั่ง คุณติ้ม (เวปฅนไท) 081-5953207

.........................................................................



ศูนย์ประสานงานกลาง นปช. แดงเชียงใหม่

การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และต่อต้านกับเผด็จการที่โค่นล้มรัฐธรรมนูญ มาตั้งแต่ก่อนการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 หัวหอกในการนำการต่อสู้ นำมวลชนออกมารวมพลังเรียกร้องประชาธิปไตยที่ท้องสนามหลวงเป็นกลุ่มแรกๆ ก็คือนักรบไซเบอร์ ในนาม “กลุ่มฅนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ” ที่ได้พัฒนาการต่อสู้มาจากกลุ่มคนที่เข้าไปแสดงความคิดเห็นในเวปบอร์ดของโลกอินเตอร์เนต ห้องราชดำเนินแห่งพันทิป และโดนกดดันจนถึงกับมีการปิดเวปบอร์ด จึงได้เกิดการสร้างเวปบอร์ดของสมาชิกเอง มีทั้งที่เปิดเผย และปิดลับ อย่างเช่น “เวปฅนผ่านฟ้า” , “weekendconer” และพัฒนามาเป็น “ Dcode” และ “ฅนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ” ในที่สุด

จังหวัดเชียงใหม่เป็นกลุ่มภูมิภาคจังหวัดแรกๆที่ประชาชนได้ออกมาแสดงตัวรวมพลังกัน ในการต่อต้านการปฏิวัติรัฐประหาร ภาคประชาชนโดยการนำของคุณเพชรวรรต แห่งโรงแรมแกรนด์วโรรส รวมตัวกับกลุ่มนักรบไซเบอร์ สมาชิกกลุ่มฅนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ โดยการนำของคุณหมอกล้วย คุณศรีวรรณ คุณหนานเมือง คุณคำมา คุณคำไป และสมาชิก “ Dcode” อีกหลายท่าน รวมตัวกันครั้งแรกได้ประมาณ 30 ท่าน ออกไปรณรงค์แจกเอกสารเรียกร้องให้ยกเลิกการประกาศกฎอัยการศึกในจังหวัดเชียงใหม่ ที่ถนนคนเดินท่าแพและได้ถูกเจ้าหน้าที่ทหารจับตัวไปสอบสวนที่ค่ายกาวิละ จำนวน 6 ท่านซึ่งมีเด็กผู้หญิงอายุ 11 ขวบ ลูกของสมาชิก (คุณคำไป) โดนจับตัวไปด้วย โดยมีการสอบสวนหนึ่งคืนและปล่อยตัวทั้งหมดออกมาในตอนเช้ามืดของอีกวันหนึ่ง นับได้ว่าการถูกจับกุมตัวในครั้งนั้น ก็คือการประกาศเปิดตัวของกลุ่มผู้ต่อต้านอำนาจเผด็จการของกลุ่มคนเชียงใหม่ ให้ประชาชนทั่วไปและทั่วประเทศได้เห็นว่า จังหวัดเชียงใหม่ก็มีกลุ่มผู้ต่อต้านอำนาจเผด็จการอยู่ และจุดประกายการต่อสู้ให้กับประชาชนชาวจังหวัดเชียงใหม่และใกล้เคียง ในเวลาต่อมา

จนมีการรณรงค์คัดค้าน รธน.50 ที่ใช้สัญลักษณ์เสื้อสีแดงจากความคิดของ “บก.ลายจุด” นับแต่นั้นก็มีการรวมตัวกันของสมาชิกมวลชนคนเสื้อแดงเชียงใหม่เพิ่มมากขึ้น ช่วยกันทำการรณรงค์ไม่เอา รธน.50 หลายครั้ง เช่น การรวมตัวกันที่ KFC , ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ , ถนนคนเดินท่าแพ , ถนนคนเดินลำพูน ตั้งแตปี 2550 จนกระทั่งมีการตั้งเวทีประชาธิปไตยครั้งแรกที่ข่วงท่าแพ เมื่อเดือนมิถุนายน 2551

การต่อสู้กับอำนาจอยุติธรรม และเรียกร้องประชาธิปไตยในแนวทางสันติ ของชาวเชียงใหม่ มีการรวมตัวกันและแยกทางกันทำงานหลายๆครั้ง ก่อให้เกิดมวลชนคนเสื้อแดงแตกแขนงออกไปอย่างมากมาย จัดตั้งกลุ่มของตัวเองในหลายๆชื่อ เช่น สมาพันธ์ชาวเหนือเพื่อประชาธิปไตย , กลุ่มรักเชียงใหม่51 , กลุ่มคนรักทักษิณ จนถึงปัจจุบันมีการจัดตั้งกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ทุกอำเภอ และรวมตัวกันทั้งหมดในนาม ศูนย์ประสานงานกลาง นปช.แดงเชียงใหม่

ศูนย์ประสานงานกลาง นปช.แดงเชียงใหม่ ได้ดำเนินกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนกลุ่มสมาชิกในแต่ละอำเภอ ให้จัดเวทีปราศรัยให้มวลชนได้รับทราบข้อมูลที่ตรงประเด็น เป็นความจริงที่สุด เพื่อสร้างจิตสำนึกร่วมกันในแนวทางการต่อสู้ โดยศูนย์ประสานงานกลางฯ รับผิดชอบในการตั้งเวทีและจัดเครื่องเสียง ประสานงานกับวิทยากรจากส่วนกลางในการเดินทางมาขึ้นปราศรัย ประสานงานการโฟนอินจากท่านนายกฯทักษิณ หรือจากท่านจักรภพ เพ็ญแข และท่านอื่นๆ รวมทั้งการขึ้นปราศรัยบนเวทีจากวิทยากรและแกนนำจากศูนย์ประสานงานกลางฯเอง ซึ่งปัจจุบันศูนย์ประสานงานกลางฯมีเวทีและเครื่องเสียงเป็นของศูนย์ฯเอง จัดหาและจัดซื้อมาโดยใช้เงินบริจาค จากพี่น้องมวลชนคนเสื้อแดงที่มองเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นที่จะต้องใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้ ซึ่งประสิทธิภาพในการใช้งานยังไม่สมบูรณ์มากนัก คงต้องมีการจัดหาอุปกรณ์ตู้ลำโพงมาเพิ่มเติมในโอกาสต่อไป

ที่ผ่านมาศูนย์ประสานงานกลางฯได้เดินทางไปช่วยจัดตั้งเวทีในหลายพื้นที่และหลายๆอำเภอ เช่น อ.สะเมิง อ.หางดง อ.สันป่าตอง อ.แม่วาง อ.ดอยหล่อ อ.แม่ออน อ.ดอยสะเก็ด อ.สันทราย อ. เวียงป่าเป้า และล่าสุดที่ ต.แจ้ซ้อน อ.เมืองปาน จ.ลำปาง ในการเดินทางไปช่วยจัดตั้งเวที ในแต่ละที่แต่ละอำเภอ คณะทำงานและผู้เดินทางไปร่วมช่วยงานเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายกันเองทั้งค่าอาหารค่าน้ำมันรถของใครของมัน ไม่มีการเบิกเงินจากศูนย์ฯแต่อย่างไรทั้งสิ้น ซึ่งบางครั้งก็เป็นค่าใช้จ่ายที่หนักเช่นกันสำหรับบางท่าน และอีกหลายท่านที่ได้ต่อสู้และทำงานเช่นนี้มาหลายปี จึงทำให้บางครั้งก็ไม่สามารถช่วยงานของศูนย์ฯได้เต็มที่มากนัก

งานส่วนหนึ่งที่สำคัญมากของศูนย์ประสานงานกลางฯก็คือ การแจกจ่ายเอกสารข้อเท็จจริง และแจกจ่าย ซีดี / วีซีดี ให้แก่ประชาชนในการเดินทางไปในแต่ละครั้ง ซึ่งการที่มีงบประมาณอันจำกัด ทำให้บางครั้งมีการแจกจ่ายไม่เพียงพอ ซึ่งถ้าหากมีเงินทุนเพียงพอและแจกจ่ายเอกสารอย่างทั่วถึง ก็จะเป็นประโยชน์ ต่อแนวทางการเผยแพร่ประชาธิปไตยแก่พี่น้องประชาชนต่อไป

การที่เพื่อนพี่น้อง “ นักรบไซเบอร์ ” ที่ต่างก็รักความยุติธรรม และรักประชาธิปไตย แต่ไม่มีโอกาสได้ออกมาทำงานเคลื่อนไหวร่วมกับมวลชนได้ เพราะมีหน้าที่ เวลา ฯลฯ เป็นอุปสรรค แต่มีความเข้าใจต่อเพื่อนพี่น้องร่วมอุดมการณ์ที่ได้ออกมาทำงานตรงจุดนี้ว่าได้เสียสละเป็นอย่างมาก จึงมีความคิดในการช่วยกันรวบรวมเงินทุน เพื่อให้ศูนย์ประงานกลาง นปช.แดงเชียงใหม่ ไว้ใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมพื่อประชาธิปไตย จึงถือเป็นคุณูปการและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการทำงานเพื่อประชาธิปไตยร่วมกันต่อไป

ขอขอบพระคุณทุกท่าน

นายสุเทพ สายทอง
เลขาธิการศูนย์ประสานงานกลาง นปช.แดงเชียงใหม่

นายพีพล มรกต (086-9110208)
รองเลขาธิการศูนย์ประสานงานกลาง นปช.แดงเชียงใหม่

พ.ต.ท.สุพล ฟูมูลเจริญ (081-9527723)
รองเลขาธิการศูนย์ประสานงานกลาง นปช.แดงเชียงใหม่


วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ทำไมการออกมาขับไล่อำมาตย์ และรัฐบาลครั้งนี้ จึงต้องนองเลือด 2
เขียนโดย อ่างขาง
วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2010 เวลา 15:20 น.



ตอนที่ 2: แพ้ชนะอยู่ที่ตำรวจ

อีกแง่มุมหนึ่ง ที่ได้รับรู้มา“กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” นั้นมีจริง ทหารรู้ดี รัฐบาลก็รู้ดี ไม่ใช่กองกำลังของเสธ.แดง แต่เป็นกองกำลังที่มาจากทหารพรานภาคใต้บางส่วน และมีนายทหารที่เก่งในด้านใช้อาวุธพิเศษควบคุมอยู่ ปฏิบัติงานอยู่ที่3จังหวัดชายแดนภาคใต้ เงินที่จ่ายให้กับหน่วยงานนี้ คือ งบลับ กองกำลังนี้วัตถุประสงค์ที่ตั้งขึ้นมา เพื่อเด็ดหัวแกนนำคนสำคัญของโจรใต้ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียกับฝ่ายอำนาจรัฐเอง ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายจึงไม่สามารถเปิดเผยได้ ข้อพิสูจน์ที่เห็นได้ชัดของหน่วยงานนี้ คือ การลอบยิงมัสยิดต่างๆ หลายครั้ง การลอบฆ่าผู้นำทางศาสนาหลายคน แม้กระทั่งทนายสมชายก็โดนหน่วยงานนี้จัดการด้วย คนภาคใต้ปิดกันให้แซ็ด บางครั้งยังกล่าวโทษไปว่า หน่วยงานนี้เป็นหน่วยงานเฉพาะที่สั่งตรงมาจากอำนาจซ้อนรัฐอีกที

เมื่อครั้งม็อบคนเสื้อเหลืองเข้ามาก่อเหตุในกรุงเทพฯ พันธมิตรเองได้ใช้บริการของหน่วยงานนี้เหมือนกัน โดยการนำพามาจากพล.อ.พัลลพ และได้รับค่าจ้างที่แพงมาก หน่วยงานความมั่นคงรู้ดีแต่พูดไม่ออก และผบ.ทบ.ก็เปิดทางสะดวกให้ด้วยกองกำลังนี้เหมือนโจรรับจ้าง ทำอะไรก็ได้ ไม่อยู่ในโอวาทผู้ใดทั้งสิ้น ในครั้งนั้นสิ่งที่พล.ต.จำลองอึดอัดใจเป็นอย่างมากคือ ยาเสพติด เพราะคนกลุ่มนี้ไม่เสพอยู่ไม่ได้ และได้นำยาเสพติดใบกระท่อมนี้เข้ามาในม็อบอย่างเปิดเผย หลายครั้งที่มีเรื่องกันเองระหว่างการ์ดที่เป็นคนของสันติอโศกกับกองกำลังชุดนี้ จนกระทั่งมีการทำร้ายกันเอง ถึงกับการใช้อาวุธแล้วก็ต้องเลิกรากันไปอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น พล.ต.จำลองก็พูดไม่ออก ต้องค่อยๆ เจรจากันไป สิ่งที่ พล.ต.จำลอง สุดทนมากที่สุดก็คือ การนำผู้หญิงในม็อบมาร่วมเสพสุขกันเป็นหมู่คณะต่อหน้าฝูงชน ที่เป็นเหตุให้ พล.ต. จำลองต้องไล่การ์ดชุดนี้ออกไปมากกว่าครึ่ง และเอาภาพของสตรีบางคนออกมาประจาน

ครั้งเมื่อเดือนเมย.52 นายสุเทพ นายเนวิน ได้ติดต่อหน่วยงานนี้ให้เขามาทำงานในกรุงเทพฯ ให้สวมเสื้อแดง ปะปนกับหน่วยที่ตั้งขึ้นมาใหม่ที่สั่งตรงมาจากบุรีรัมย์ เป็นทีมงานเสื้อแดงปลอม ผลงานที่เป็นรูปธรรมก็คือเผารถเมล์ ทุบรถเปล่าอภิสิทธิ์ บุกมัสยิด และแอบยิงคนเสื้อแดงด้วยกันเอง

คาดว่า ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันกองกำลังไม่ทราบฝ่ายเหล่านี้จะเข้ามาร่วมในกิจกรรมล้มพล.อ.เปรมในครั้งนี้ด้วย คนที่พูดภาษาไทยรู้เรื่องบางส่วนจะปะปนไปในกลุ่มคนเสื้อแดง พวกนี้ไม่มีอาวุธแต่จะไปหาเอากันข้างหน้า จะมุ่งหาเรื่องทำร้ายเจ้าหน้าที่ของรัฐก่อนโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งนี้เพื่อให้ตำรวจเกลียดคนเสื้อแดง ไม่ยอมออกมาช่วยเมื่อทหารใช้กำลังเข้าทำร้ายคนเสื้อแดง

อีกส่วนหนึ่งจะใช้หลากสีเสื้อเข้ามา มีอาวุธนานาชนิด ปืน ระเบิดปิงปอง หนังสติ๊ก มีด ไม้กอล์ฟ เหมือนครั้งที่ม็อบเสื้อเหลืองบุกรัฐสภาฯ จะเข้าโจมตีคนเสื้อแดงอย่างตรงๆ แต่คนละด้านกับกลุ่มเสื้อแดงปลอมที่ตนเองจัดมา รัฐบาลจะใช้ เหตุการณ์นี้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเข้ามาจัดการกับคนเสื้อแดง โดยข้ออ้างระงับเหตุคนไทยสองกลุ่มฆ่ากัน และเชื่อว่าแกนนำคนเสื้อแดงอย่างน้อยสามคนคงไม่มีชีวิตรอดในการเข้าระงับเหตุในครั้งนี้

แต่ทั้งหมดที่ฝ่ายรัฐบาลวางแผนไว้นั้น ความลับ ดันรั่วไหลได้ถูกคนเสื้อแดงออกมาแฉสิ้น ฝ่ายแกนนำคนเสื้อแดงจึงต้องวางแผนแก้ลำ โดยประกาศจะใช้วิธีเดินทางเป็นสายน้ำไหลจากอีสานมาสู่สระบุรี จากเหนือเดินทางเป็นสายน้ำไหลเช่นกันมาสมทบกันที่สระบุรี แล้วเริ่มขบวนกันทั้งหมดเข้า กทม. แปลความได้ว่า รถถัง ที่สระบุรีคงจอดตาย ณ ตรงนั้นไม่สามารถขยับเข้ามาในกรุงเทพฯ ได้ ถนนทั้งสายในวันนั้น คงไม่มีที่เลนที่จะขยับเขยื้อน เดินก็ต้องเดินถ้าแม้ขยับไม่ได้ พร้อมจะประกาศในวันนั้น ให้ตำรวจ และทหารเลือกข้างกันไปเลย ว่าจะอยู่ข้างไหน

เรื่องนี้ต้องวัดใจตัวตำรวจเอง ส่วนทหารผมบอกตรงๆ ไม่เคยคาดหวังอะไรมากนัก ว่าตำรวจชั้นผู้น้อยที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ และผู้บังคับบัญชาของตนเองจะยอมเป็นเบี้ยล่าง ให้อำมาตย์ ใช้ต่อไป หยามศักดิ์ศรีต่อไป อีกหรือเปล่า

แพ้หรือชนะ ในม็อบเสื้อแดงขึ้นอยู่ที่ตำรวจอย่างเดียว เพราะตำรวจสามมารถติดอาวุธในเครื่องแบบได้ ถ้าม็อบฝ่ายรัฐบาลที่จัดมาปะทะเริ่มใช้อาวุธ ตำรวจสามารถตอบโต้ได้ทันทีกฎหมายอนุญาต ถึงแม้จะโดนถ่ายภาพไว้ก็แล้วแต่ มันอยู่ที่ว่าใครชนะถ้าประชาชนชนะ ตำรวจก็ชนะด้วย แต่ถ้าแพ้ตำรวจกับประชาชนก็คงไม่พ้นเวรพ้นกรรมเหมือนกัน ตกงานครบ ครอบครัวลำบากครบ หรือถ้ายังทำงานตามน้ำเหมือนเดิม ตำรวจเองก็จะกลายเป็นแพะทุกกรณีย์ ดังนั้นต้องวัดใจกันดู ว่าตำรวจไทยจะเลือกข้างไหน

มาถึงคำถามแล้วเสธ.แดงละจะอยู่ตรงไหน?

ทางการวิเคราะห์สถานการ เมื่อครั้ง เมย. ที่ผ่านมาทั้งฝ่ายทหาร และฝ่ายคุณทักษิณ วิเคราะห์ได้ตรงกัน เสื้อแดงแพ้เพราะ“สื่อ”อย่างเดียวแท้ๆ ทั้งๆ ที่รัฐบาลกำลังจะยอมแพ้อยู่แล้ว อภิสิทธิ์ยอมสละทุกอย่างแล้วเพื่อให้ทหารออกมาช่วย แต่ทหารไม่ยอมช่วย จะช่วยได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลสามารถควบคุมสื่อทั้งหมดได้ก่อน และต้องรับผิดชอบผลที่จะตามมาหลังจากการสั่งฆ่าประชาชนไปแล้ว (ดังนั้นในเวลาต่อมาเมื่อมีการขัดใจกันเทปลับเสียงของอภิสิทธิ์จึงโผล่อออกมาให้เห็น)

บทบาทของเสธ.แดงที่จะต้องทำก็คือ ปราบรถถังด้วยรถถัง ปราบทหารด้วยทหาร เสธ.ต้องเจอกับเสธ.ต้องรักษาฐานที่มั่นอิมพีเรียลให้ได้ ทีวีช่องประชาชนจะไม่มีวันให้โดนปิด จะยิงจะฆ่ากันตายตรงนั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เหตุเพราะตรงนั้นเป็นที่เอกชน ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะรักษาทรัพย์สินของตนเองได้ สื่อของประชาชนมีความสำคัญมากในเวทีต่างประเทศ เป็นพื้นฐานของการปกครองแบบประชาธิปไตย ถ้ารัฐบาลใช้กำลังทหารมาเข่นฆ่าประชาชนที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนั้นต้องคิดให้หนักหน่อย เพราะที่ตรงนั้นเป็นที่สาธารณะประชาชนไม่ได้ออกไปเดินขบวนประท้วงด้วย มีแต่เพียงทีวีผ่านดาวเทียมช่องเดียวที่เช่าสถานที่แห่งนั้นออกอากาศ รัฐบาลจะบอกกับสังคมโลกว่าอย่างไร ประชาชนที่จับจ่ายใช้สอยบนห้างฯ แห่งนั้นเป็นกบฏต่อแผ่นดินเช่นนั้นหรือ ที่ผ่านมาเราไม่มีกองกำลังออกมาต่อสู้เองจึงเป็นเหตุให้ต้องเสียสถานีโทรทัศน์ พีทีวีไป โดยที่รัฐบาลไม่สามารถเอากฎหมายมาตราไหนมาเล่นงานได้จนถึงทุกวันนี้ และถ้าเสธ.แดงไม่แพ้ตรงนั้น เชื่อว่า คนเสื้อแดงชนะเด็ดขาดยิ่งนานวันคนยิ่งเพิ่ม

อีกคนที่ไม่อยากให้มองผ่านไปคือ บิ๊กจิ๋ว

การรบต้องมีกลลวงอยู่ด้วย แนวนี้ท่านถนัดนักผมเชื่อว่าเมื่อเหตุการณ์ตรึงเครียด บิ๊กจิ๋วนี่แหละจะเป็นคนพลิกสถานการณ์ ทหารที่ใช้กำลังออกมาฆ่าประชาชนมาจากชายแดนฝั่งตะวันออกใช่หรือไม่ ถ้าแม้ บิ๊กจิ๋ว แค่กระแอมเบาๆ กำลังที่ติดชายแดนก็รีบถอนตัวกลับกันแล้ว เพราะต้องห่วงหน้าพะวงหลัง

เมื่อถึงเวลาที่อำมาตย์ต้องเข้าตาอับ ไม้ตายของอำมาตย์จะทำอย่างไร บิ๊กจิ๊ว รู้ดีทั้งหมด ที่เสธ.แดงเคยกล่าวเอาไว้อยู่เสมอ โจโฉ ไม่เคยแพ้ใคร สาเหตุที่ไม่แพ้ แท้จริงก็เพราะ โจโฉ ดันมีขงเบ้งที่ชื่อ จิ๋ว อยู่เคียงกายในเวลานั้นนั่นเอง 45กองพันยังต้องพ่ายแพ้ยับวันนี้ โจโฉ ต้องเจอกับหมากกลของ ขงเบ้ง มาดูกันซิว่า ใครจะแน่กว่ากันในสนามรบจริง

ข้อที่ บิ๊กจิ๋ว ต้องระวังอย่างยิ่งคือ รพ. ศิริราช งานนี้ผมเชื่อว่า บิ๊กจิ๋ว มีเกมแก้ไว้ในใจแล้ว ถ้าแม้ว่าอำมาตย์ใหญ่บังอาจปิดกั้นไม่ให้กระแสพระราชดำรัส ออกทีวีได้ งานนี้บิ๊กจิ๋วเล่นเอากองทัพกระเทือนแน่ เผลอๆ เปรมก็เปรมเถอะอาจจะไม่ได้ไปอยู่ต่างประเทศกับคุณชาตรี แต่ไปอยู่ที่ห้องเย็นในรพ.นั้นแทน

แถมให้อีกนิดกลุ่มพันธมิตรจะอยู่ตรงไหน

คำตอบก็คือใจจริงมันอยากให้รัฐบาลไปตั้งนานแล้ว มันก็เห่าอยู่ในจอทีวีด่ารัฐบาลทุกวัน มวลชนของพวกมันทั้งหมดที่ขนกันมา พรรคปชป.ขนมาให้ทั้งนั้น ลองดูปัจจุบันที่พวกมันจัดกิจกรรมกัน มีคนมาไม่เคยถึงพันซักครั้งเดียว แม้กระทั่งงานใหญ่ตั้งพรรคการเมือง ทุกวันนี้ยังหาสมาชิกได้ไม่ถึงสองพันคนเลย ในอดีตธนาคารใหญ่จ่ายเงินหมดไปเยอะแล้ว ผู้นำม็อบหากำไรเกินความจริงเบิกจ่ายกันวันละล้าน ใครจะจ่ายไหว ครั้งนี้คงไม่มีใครจ่ายให้ เมื่อไม่จ่ายก็ไม่มีคนออกมา เพราะที่นี่ไม่ใช่ม็อบการกุศล ทุกคนต้องทำมาหากิน


.

แถลงการณ์สมัชชาสังคมก้าวหน้า ; ประณามคดียึดทรัพย์ทักษิณ

แถลงการณ์สมัชชาสังคมก้าวหน้า ; ประณามคดียึดทรัพย์ทักษิณ

แถลงการณ์สมัชชาสังคมก้าวหน้า ; ประณามการยอมรับผลของการรัฐประหาร ในทุก ๆ รูปแบบ


หลังรัฐประหาร ๑๙ กันยา ๔๙ คณะรัฐประหารได้ล้มล้างรัฐธรรมนูญ และพยายามกำจัดฝ่ายรัฐบาลเดิมซึ่งเป็นรัฐบาลที่มาจากกระบวนการเลือกตั้งที่ชอบด้วยกฎหมาย อย่างบ้าคลั่งเอาเป็นเอาตาย โดยไม่ละอายใจในการระเบิด “ความร่านทางการเมือง” โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ที่พวกตนก่อเลย ยิ่งไปกว่านั้น คณะรัฐประหารได้ใช้วิธีการอัน “เนียนทราม” จัดตั้ง “กระบวนการยุติธรรมแบบยัดไส้” ตามประกาศ คปค.ฉบับที่๓๐ โดยเลือกเฟ้นฝ่ายปฏิปักษ์รัฐบาลเดิม ให้เป็นกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ในนาม “คตส”


ซึ่งคณะรัฐประหารทราบดีว่า การตั้งฝ่ายปฏิปักษ์ดำรงตำแหน่งดังกล่าวขัดต่อคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งตาม มาตรา ๒๙ และ ๔๖ แห่ง พรบ.ประกอบฯว่าด้วย ปปช. พ.ศ.๒๕๔๒ และอีกหลายฉบับ ฉะนั้น ประกาศ คปค. ฉบับที่ ๓๐ ข้อ ๒ วรรค๒ จึงกำหนดว่า “มิให้นำกฎหมายนั้นมาบังคับแก่การได้รับแต่งตั้งและการปฏิบัติหน้าที่เป็น กรรมการตรวจสอบ” นอกจากนี้ ประกาศฉบับดังกล่าว ยังได้ขยายอำนาจหน้าที่ คตส.ให้กว้างมหาศาล (ตามข้อ ๕ วรรค ๓ (๑) – (๓) และ วรรค๔) ผิดจากกรอบอำนาจภายใต้ชื่อ “คตส” ตามรัฐธรรมนูญ๔๐ และด้านการจัดเนื้อหาภายใน ปปช. (ประกาศ คปค. ฉบับที่ ๑๙) ก็มีความสกปรกลักษณะเดียวกัน ทั้งนี้ ยังไม่ต้องพิจารณาถึง การดำรงตำแหน่งซ้ำซ้อนกันของบุคคล คนเดียวกัน ใน ๒ องค์กรที่มีลักษณะต้องถ่วงดุลซึ่งกันและกัน ซึ่งสะท้อนความสำส่อนในกระบวนการยุติธรรมของผู้ทรงคุณธรรมทั้งหลาย เมื่อ “หาพยานหลักฐาน” แล้วเสร็จ คตส.ต้องส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณายื่น/ไม่ยื่น คำร้องต่อศาล ตามกระบวนการยุติธรรมปกติ แต่มีข้อยกเว้นบางกรณี (ประกาศ คปค. ฉบับ๓๐ ข้อ๙ วรรค๑)

ที่น่าสนใจก็คือ อำนาจหน้าที่ของอัยการสูงสุด ตามกระบวนการปกติ เป็นเช่นไร ???
การส่งเรื่องของ คตส. ไปยังอัยการสูงสุด เพียงเพื่อให้ อัยการสูงสุด พิจารณาความสมบูรณ์ของพยานหลักฐานว่าครบถ้วนแล้วหรือไม่ และหากไม่ครบถ้วนอย่างไร อัยการสูงสุดมีหน้าที่ “ระบุรายงาน” ในแก่ คตส. เพื่อแก้ไขให้ครบถ้วนต่อไป (มาตรา ๘๐ วรรค ๒ พรบ.ประกอบฯ ว่าด้วย ปปช.) และถ้า คตส.ยืนยันความเห็นเดิม ก็ให้ คตส.มีอำนาจดำเนินการยื่นคำร้องไปยังศาลฎีกา แผนกคดีอาญาฯ เองได้ (ประกาศ คปค.ฉบับที่๓๐ ข้อ ๙ วรรค๑)


จะเห็นได้ว่า อัยการสูงสุด ซึ่งมิได้ถูก คณะรัฐประหาร แต่งตั้งนั้น ไม่ได้ “มีส่วน” ในการค้นหาความจริงในพยานหลักฐานแต่ประการใด หากแต่พิจารณาความ “สมบูรณ์ครบถ้วน” ของพยานหลักฐานในการฟ้องคดีตามที่ คตส.มุ่งหมายเท่านั้น และเป็นอำนาจยับยั้งที่ไม่เด็ดขาด นั่นหมายความว่า กระบวนการ “ผ่านอัยการสูงสุด”ก็ มิได้ทำให้พยานหลักฐานมีความบริสุทธิ์ ขึ้นมาแต่ประการใด

บนฐานของ “ความปฏิปักษ์” ในการค้นหา-ไต่สวน ให้ได้“พยานหลักฐาน” ในการฟ้องคดีทุจริตของรัฐบาลที่ถูกรัฐประหารโค่นไปนั้น “พยานหลักฐานโดยอคติ” นี้ ก็ถูกส่งผ่านไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ และการพิจารณาพิพากษาก็เป็นการพิจารณา ไปตามพยานหลักฐานจริงๆเท็จๆ จาก องค์กรปฏิปักษ์ต่อจำเลย เหล่านั้น


นับว่าน่าเจ็บใจ ที่องค์กรที่ใช้อำนาจตุลาการแทนปวงชน(แทบทุกครั้งในประวัติศาสตร์)กลับเพิก เฉยสยบยอม ต่อกระบวนการจัดตั้งองค์กรต่างๆ อันส่งผลโดยตรงต่อรูปคดี โดยวิธีโดยการล้มล้างรัฐธรรมนูญ (เช่น กรณีสวรรคต ) และขัดต่อ กระบวนการอันเป็นธรรมตามกฎหมาย (due process ; state-under-law ) ซึ่งเป็นสารัตถะของหลักนิติรัฐโดยแท้ ซึ่งในรัฐสมัยใหม่ due process ถือเป็นหัวใจของระบบกฎหมายในการประกันความมั่นคงทางนิติฐานะของประชาชน ไม่ให้ถูกรัฐใช้อำนาจตามอำเภอใจ มิฉะนั้น ก็นับเป็นการพังทลายความมั่นคงของระบบกฎหมายของรัฐนั้นโดยสิ้นเชิง


จริงอยู่ ที่การทุจริตคอรัปชั่นเป็นการ “ละเมิดกฎหมาย” แต่หากเทียบความร้ายแรง “รัฐประหาร”คือ การทำลายทั้งระบบกฎหมาย (throw out ; ยกเลิกมันทิ้งไปเลย) องค์กรตุลาการ พึงยึดมั่นในหลักการสากลว่า การจับใครมาขึ้นศาล หรือได้พยานหลักฐานมาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ก็เป็นการดำเนินคดีมิได้ ตามหลักการรักษาสมดุลระหว่าง crime control model กับ due process model “กลไกต่างๆ”ที่ถูกสถาปนา โดย/ ระหว่าง การรัฐประหาร ย่อมไม่ใช่ Due Process เพราะ เป็นการล้มล้างระบบกฎหมาย และคดียึดทรัพย์นี้ ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า มันเป็น “ส่วนหนึ่งในกระบวนการ และ ผลิตผลของการรัฐประหาร” ซึ่งไม่สามารถยอมรับได้เลยทั้งในแง่กฎหมายและแง่การเมือง ในบ้านเมืองที่เป็น นิติรัฐ

ที่ผ่านๆมา ศาลไทยยอมรับ “การอยู่ร่วมกันเยี่ยงสัตว์”(Might is Right ; Law of the jungle)โดยไม่พยายามแสดงความรับผิดชอบต่อ “ปวงชน” ทั้งๆที่ “องค์กรตุลาการ”ได้ใช้ อำนาจอธิปไตยแทนปวงชน จริงอยู่ที่เป็นได้ว่า “เมื่อเสียงปืนดังขึ้น กฎหมายก็ย่อมเงียบเสียงลง”(Inter arma Silent leges) แต่กระนั้น เมื่อเสียงปืนสงบเงียบลงไปแล้ว กฎหมายหรือความยุติธรรม จะมีเสียงขึ้นมาบ้างไม่ได้หรือกระไร !!


กลุ่มสมัชชาสังคมก้าวหน้า จึงขอประณามการยอมรับ “ผลของการรัฐประหารในทุก ๆ รูปแบบ” และ ขอประกาศว่า “คำพิพากษาที่ไร้การพิพากษา ย่อมไม่อาจยอมรับได้ สามัญชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่านโดยปฏิเสธการดำรงอยู่ของคำพิพากษาที่เป็น ปฏิปักษ์ต่ออำนาจอธิปไตยจากปวงชน พลังของคำพิพากษาย่อมสิ้นไป หากมหาชน “กระหน่ำต่อต้านมัน!”


--------------------------
ที่มา : http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P8918747/P8918747.html
ผมได้โพสต์ไว้อีกที่นึง :
http://weareallhuman.net/index.php?showtopic=43109&st=0

.

จาตุรนต์:รัฐบาล พธม. สื่อกดดันศาลขยี้ยุติธรรม




จาตุรนต์:รัฐบาล พธม. สื่อกดดันศาลขยี้ยุติธรรม


รัฐบาลสร้างข่าวว่า จะเกิดความวุ่นวายเพื่อล้มคดี หรือเพื่อกดดันศาล ซึ่งก็ไม่เป็นความจริงมาตลอด แต่ในความเป็นจริงกลับปรากฏว่า ขณะนี้ล้อมๆ ศาลมีเครื่องขยายเสียงหลายสิบล้านเครื่องทั่วประเทศคือทีวี ทุกด้านโฆษณาไปในทางเดียว คือ โฆษณาว่า ทรัพย์สินนี้ไม่ชอบต้องยึดเท่านั้น และเมื่อยึดแล้วจะเกิดความวุ่นวายต่างๆ ตามมา เป็นการโฆษณาเพื่อที่จะกดดันศาล ชี้นำสังคม และทำลายคู่ต่อสู้ทางการเมือง ผ่านเครื่องขยายนับสิบล้านเครื่องรอบศาล ผมจึงได้บอกว่า ได้เกิดความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นแล้วในการพิจารณาคดีนี้


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
24 กุมภาพันธ์ 2553

บันทึก คำต่อคำ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย แถลงข่าวกรณีมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างต่อเนื่องในคดียึดทรัพย์ 7.6 พันล้าน เวลา 10.00 น.



นายจาตุรนต์ - ที่ต้องให้ความเห็นในเรื่องนี้ เพราะเห็นว่ามีความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในกรณีนี้ และรู้สึกว่าเหมือนกับมีการรุมรังแกกันอยู่ฝ่ายเดียวมาตลอด

รวม ทั้งเป็นห่วงว่า ถ้าการตัดสินนี้ออกมาไม่ยุติธรรมขัดกับหลักนิติธรรมจะกระทบต่อความเชื่อถือ ต่อระบบยุติธรรมของประเทศอย่างรุนแรง ทั้งจากสังคมไทย และจากประชาคมโลก ชนิดที่ยากจะกอบกู้กลับมาได้

และอาจจะกลายเป็นต้นเหตุ และพื้นฐานสำคัญของความแตกแยกในสังคมที่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าเดิม ชนิดที่ยากแก่การเยียวยา เนื่องจากผู้คนจำนวนมากไม่อาจจะพึ่งระบบ และกฎหมาย แต่หาทางออกโดยวิธีอื่น

ที่แสดงความ เป็นห่วงอย่างนี้มีเหตุผลข้อเท็จจริงรองรับตลอด เพราะได้มีการชี้นำสังคม กดดันศาล แม้กระทั่งหมิ่นศาลอย่างชัดเจน เพื่อให้มีผลต่อการตัดสินคดี และทำลายล้างคู่ต่อสู้ทางการเมืองอย่างเป็นระบบต่อเนื่อง


ทั้งหมดนี้เป็นการ กระทำโดยรัฐบาล คนสำคัญคือรัฐบาล สื่อของรัฐ โดยสมคบร่วมมือกับอดีตคตส.บางคนและพันธมิตรฯ รัฐบาลได้พยายามโยงทุกเรื่องที่จะโยงได้เข้ากับคดียึดทรัพย์ ทั้งๆที่ไม่เป็นความจริง รัฐบาลยังได้พยายามสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นกับผู้ที่ตกเป็นจำเลย และผู้สนับสนุน โดยการกล่าวหาที่เป็นเท็จอย่างต่อเนื่อง

นอก จากนั้นรัฐบาลยังไม่วางตัวเป็นกลาง แสดงความเห็นในทางให้ร้าย และใช้สื่อของรัฐในการให้ข้อมูลด้านเดียวทุกวัน โดยไม่เปิดให้อีกฝ่ายหนึ่งให้ข้อมูล ทั้งๆที่เรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล

ตามหลักแล้วที่ถูกต้องแล้ว รัฐบาล และสื่อของรัฐจะต้องเป็นกลาง แต่ไม่ได้แสดงความเป็นกลางเลยอย่างต่อเนื่องทุกวันทุกคืน ส่วนคตส.ก็กระทำผิดประเพณีปฏิบัติ ผิดจรรยาบรรณของพนักงานสอบสวน หรืออดีตพนักงานสอบสวน แสดงความเห็นในทางให้ร้ายจำเลย ทั้งๆที่เรื่องอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ใช้ความเห็นแบบไม่ได้อิงหลักกฎหมายอย่างที่บอกว่า วัวกินหญ้าเป็นการพูดแบบไม่สอดคล้องหลักนิติธรรมเลย เหมือนอย่างที่ผมพูดไปบ้างแล้วว่า เหมือนกับ คนกินหญ้าเสียมากกว่า

แต่ ว่าการที่ยังพูดอย่างต่อเนื่อง ใช้สื่อของรัฐในการให้ร้ายจำเลยอย่างต่อเนื่องก็เปรียบเหมือนกับว่าประชาชน คนไทยทั้งประเทศกินหญ้ากันไปหมดแล้ว นอกจากนั้นในส่วนของพันธมิตรฯล่าสุด นอกจากพยายามให้ร้ายชี้นำกดดันศาล


ล่าสุดการพูดของพันธมิตรฯและพรรคการเมืองใหม่ ที่บอกว่ามีการใช้เงิน 5 พันล้านมาติดสินบนศาล และล่าสุดยังได้พูดเลวร้ายกว่านั้นมี 4 คนรับไปแล้ว เหลืออยู่คนเดียว การพูดว่า 4 คนรับไปแล้ว หรือติดสินบน 5 พันล้าน และมี 4 คนรับไปแล้ว ก็แสดงว่า เป็นการพูดว่า มีผู้พิพากษาอย่างน้อย 4 คนรับไปแล้ว อันนี้เป็นการพูดลักษณะหมิ่นศาลอย่างชัดเจน น่าแปลกว่า การพูดเหล่านี้ไม่มีการดำเนินคดีใดๆ ทั้งๆที่เป็นหมิ่นศาลอย่างชัดเจน

ก็ เท่ากับว่า ผู้เกี่ยวข้องต้องการให้มีการพูดแบบนี้เพื่อกดดันศาล โดยทำให้สังคมคิดว่า ถ้าใครไม่วินิจฉัยยึดทรัพย์เท่ากับรับสินบน ถ้าใครวินิจฉัยยึดทรัพย์ก็ไม่รับสินบน ขณะนี้การพิจารณาคดีนี้จึงเป็นการพิจารณาคดีที่แปลกประหลาดที่สุดในประวัติ ศาสตร์ของการพิจารณาคดีทั้งหลายในประเทศไทย หรืออาจจะในโลกด้วย

รัฐบาลสร้างข่าวว่าจะเกิดความวุ่นวายเพื่อล้มคดี หรือเพื่อกดดันศาล ซึ่งก็ไม่เป็นความจริงมาตลอด แต่ในความเป็นจริงกลับปรากฏว่า ขณะนี้ล้อมๆ ศาลมีเครื่องขยายเสียงหลายสิบล้านเครื่องทั่วประเทศคือทีวี ทุกด้านโฆษณาไปในทางเดียว คือ โฆษณาว่า ทรัพย์สินนี้ไม่ชอบต้องยึดเท่านั้น และเมื่อยึดแล้วจะเกิดความวุ่นวายต่างๆ ตามมา เป็นการโฆษณาเพื่อที่จะกดดันศาล ชี้นำสังคม และทำลายคู่ต่อสู้ทางการเมือง ผ่านเครื่องขยายนับสิบล้านเครื่องรอบศาล ผมจึงได้บอกว่า ได้เกิดความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นแล้วในการพิจารณาคดีนี้ เพราะฉะนั้นก็เหลือแต่การตัดสิน

ซึ่งผมคิดว่า การตัดสินเป็นเรื่องสำคัญ ขณะนี้จะยึดทรัพย์อะไรหรือไม่ จะเกิดอะไรกับคุณทักษิณและครอบครัว หรือคุณทักษิณจะทำอะไรต่อไป ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่สุดในสังคม แต่ประเด็นสำคัญที่สุดในสังคมคือ การตัดสินจะเป็นไปตามหลักนิติธรรมหรือขัดต่อหลักนิติธรรม จะเกิดอะไรขึ้นกับระบบยุติธรรมและต่อสังคมไทยหลังการตัดสินคดีนี้

เรื่องการทำลายสถานที่ ใช้ความรุนแรงในวันตัดสิน ผมว่าไม่น่าเป็นห่วง ถ้ารัฐบาลป้องกันให้ดีและอย่าสร้างสถานการณ์ ก็คงไม่มีอะไรมาก แต่ที่น่าเป็นห่วงคือผลตัดสินจะออกมาอย่างไร ถ้าขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่ยุติธรรม จะเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่คิดกัน คือจะกระทบต่อความเชื่อถือ ความยุติธรรมของประเทศอย่างรุนแรง ทั้งจากสังคมไทยและประชาคมโลกชนิดที่ยากที่จะกอบกู้กลับมาได้ จะเป็นต้นเหตุสำคัญของความแตกแยกในสังคม ที่หนักหนาสาหัสที่ยากต่อการเยียวยา เนื่องจากผู้คนจำนวนมากอาจไม่หวังพึ่งระบบและกฎหมาย แต่จะหาทางออกวิธีอื่น

จึงอยากจะเรียกร้องนอกจากผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย โดยเฉพาะพวกที่กดดันศาล สร้างสถานการณ์ สร้างความเกลียดชังฝ่ายตรงข้ามหรือคู่ต่อสู้ทางการเมือง หยุดการกระทำนั้นเสีย โดยเฉพาะรัฐบาล คตส. และพันธมิตรฯกับพรรคการเมืองใหม่ และอยากเรียกร้องให้สังคมหาข้อมูลและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการพิจารณาและการ ตัดสินคดีนี้อย่างจริงจัง รวมทั้งหาโอกาสที่จะแสดงความคิดเห็นอย่างเหมาะสมในโอกาสต่อไป โดยเฉพาะถ้าเห็นว่า มีความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น ก็ต้องยืนยันว่าประชาชนมีสิทธิที่จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินก็ ได้

ถ้าหากเห็นว่าไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น สิ่งที่ต้องทำคือต้องใช้สติปัญญา ใช้ความรู้ เหตุผล แสดงความคิดเห็นอย่างเหมาะสมเพื่อหาทางแก้ไขปรับปรุงระบบยุติธรรมของประเทศ เพื่อหาทางออกให้กับสังคมแบบสันติวิธี พยายามใช้ความอดทน อดกลั้น

ผู้ ที่ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสิน ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับความไม่ยุติธรรม ควรใช้ความอดทน อดกลั้นและใช้สติปัญญา ใช้เหตุผลในการปรับปรุงระบบยุติธรรมในประเทศนี้ แทนที่จะไปแสดงออก ด้วยการใช้ความรุนแรงเล็กๆน้อยๆอะไรก็ตาม ซึ่งจะเป็นเหยื่อของรัฐบาลชุดนี้ เพราะรัฐบาลจะฉวยโอกาสขยายความให้ใหญ่มากขึ้น ทำให้เห็นว่าเป็นเรื่องของคนเลวร้าย เป็นเรื่องของคนไม่ยอมรับกติกาใดๆและก็จะขยายความ จนคนส่วนใหญ่ลืมประเด็นการตัดสินว่ายุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม

อยากเรียกร้องต่อสังคม และเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของสังคมไทย และเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของระบบยุติธรรมของไทย ถ้าไม่สนใจกันอย่างจริงจัง ผลเสียจะตามมาอย่างมาก

ผู้สื่อข่าว - กรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่า
จะใช้ช่องทางของศาลโลกในการดำเนินการหากไม่ได้รับความยุติธรรมในคดียึดทรัพย์

จาตุรนต์ - พ.ต.ท.ทักษิณจะใช้วิธีอะไรต่อไป ผมไม่ไห้ความสำคัญ หรือสนใจอะไรเลย แต่กำลังสนใจว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับระบบความยุติธรรมของประเทศ และคนส่วนใหญ่จะทำกันอย่างไรต่อไป

เมื่อผลการตัดสินออกมาแล้ว รัฐบาลอาจจะโหมโฆษณาประชาสัมพันธ์ในทางชื่นชมสดุดี ถ้าเขาเห็นว่าตรงกับใจเขา ต้องถามทางศาลว่าทำได้หรือเปล่า และถ้าคนไม่เห็นด้วย จะแสดงความคิดเห็นอย่างเหมาะสมบ้าง ถามว่าทำได้หรือเปล่า ภาพเหตุการณ์อย่างนั้น ภาพเหตุการณ์ที่รัฐบาลจะโหมประโคมข่าวสดุดีชื่นชมกับคำตัดสินไปในทางเดียว และไม่ออกข่าวอีกทางหนึ่งเลย

ในขณะที่จำเลยเขาอาจจะอุทธรณ์ต่อมา เท่ากับเป็นการกดดันศาลซ้ำเติมอีก และจะทำให้เกิดความอัดอั้นตันใจให้กับคนที่ต้องการจะแสดงความคิดเห็นบ้าง ไม่มีโอกาสให้เขาแสดงความคิด มันก็จะนำไปสู่ความขัดแย้ง ความคิดเห็นที่รุนแรงขึ้น

ผมไม่สนใจว่าพ.ต.ท.ทักษิณจะเอายังไงต่อไป แต่สนใจว่าสังคมไทยจะเอายังไงต่อไป


ผู้สื่อข่าว - หลังวันที่ 26 กุมภาพันธ์เสื้อแดงจะชุมนุม
มองว่าจะนำไปสู่ความรุนแรงหรือไม่


จาตุรนต์ - หลังวันที่ 26 กุมภาฯ ถ้าให้แนะนำประชาชนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย รวมทั้งกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสิน ไม่ว่าจะฝ่ายไหน ไม่ว่าคำตัดสินจะออกมาอย่างไร ผมคิดว่า ยังไม่ควรมีการชุมนุมหรือเคลื่อนไหวเร็วไปนัก เพราะการชุมนุมนั้นจะมีจุดอ่อนอย่างสำคัญ

อาจจะมีคนที่โกรธแค้นอัด อั้นตันใจ และควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ จนอาจจะขว้างโน้น ปานี้ เกิดเป็นความรุนแรงขึ้น ความรุนแรงนั้นอาจจะบานปลาย ถูกสร้างสถานการณ์ทำให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงมากขึ้นนั้นจะเป็นประโยชน์กับ รัฐบาลปัจจุบันนี้อย่างมาก เพราะเขาได้เตรียมแผนไว้หมดแล้วที่จะขยายความเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังวัน ที่ 26 กุมภาพันธ์

และจะทำให้เกิดเป็นผลเสียต่อการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และเพื่อความเป็นธรรมต่อไป


เพราะ ฉะนั้นผมยังคิดว่าควรจะมาตั้งหลักกัน ถ้าฝ่ายที่จะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ฝ่ายที่จะต่อสู้เพื่อความยุติธรรมในประเทศนี้ ควรจะใช้เวลาสักระยะหนึ่งทำความเข้าใจในเรื่องนี้ว่าเกิดความยุติธรรมขึ้น หรือไม่ มีเหตุมีผลอย่างไรและคิดอย่างไร ก็ชี้แจงต่อประชาชนโดยสันติ โดยยังไม่เคลื่อนไหวชุมนุมอะไรมาก

เมื่อตั้งหลักได้ดี เกิดความเข้าใจอย่างดีแล้วสังคมมีความเข้าใจ สังคมเห็นใจ เห็นปัญหาความไม่ยุติธรรม การเคลื่อนไหวที่จะมีต่อไปควรเป็นการเคลื่อนไหวที่ใช้สันติวิธี มุ่งไปที่การทำให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยและเกิดความยุติธรรม แทนที่จะเป็นเรื่องบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ผมยังอยากเห็นการทิ้งช่วงระยะหนึ่ง ก็จะหาทางเสนอต่อผู้ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และเสื้อแดงด้วย


ผู้สื่อข่าว - หลังการตัดสินวันที่ 26 ก.พ.แล้ว
มองว่าการเมืองและเศรษฐกิจของไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป


จาตุรนต์ - ขึ้นอยู่กับคำตัดสินและปฏิกิริยาของฝ่ายต่างๆ ที่จะมีต่อคำตัดสิน ขณะนี้เป็นไปได้ทั้งสงบเรียบร้อยราบรื่น และเป็นไปได้ทั้งเกิดความไม่พอใจ เกิดความไม่เชื่อถือต่อระบบยุติธรรมของประเทศ คนไม่มาลงทุน เกิดความขัดแย้งรุนแรงต่อไปในสังคม เป็นไปได้ทั้งนั้น


ฉะนั้น จึงขึ้นกับคำตัดสิน และปฏิกิริยาหลังการตัดสิน โดยเฉพาะบทบาทของรัฐบาล ถ้ารัฐบาลซ้ำเติมฝ่ายเดิม สร้างสถานการณ์เพิ่มเติมเพื่อทำลายคู่ต่อสู้ทางการเมือง เรื่องถึงไม่จบ

Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า at 2/24/2010 08:21:00 ก่อนเที่ยง

.

โคตรอำมหิต ปิดประเทศปล้น !!!!

โคตรอำมหิต ปิดประเทศปล้น !!!!
Thu, 02/25/2010 - 10:14

by perfecter
http://www.prachataiwebboard.com/webboard/id/23668

26 กุมภาพันธ์นี้ ทุกโรง......

สุดยอดเรื่องราวของนักธุรกิจไฟแรงดีกรีอดีตนายกรัฐมนตรีประเทศหนึ่ง ที่รวยติดอันดับต้นๆ ที่ทำดีเกินไปจนออกนอกหน้า

เหล่ามาเฟียผู้กุมอำนาจดั้งเดิม กับเกมการแย่งชิงทรัพย์สมบัติที่เขาได้สร้างมานาน โดยใช้ทุกวิถีทางไม่สนใจว่าจะดีหรือเลว

เพียงเพื่อที่จะได้เพียงทรัพย์สินของเขา เตรียมพบกับการปล้นกลางอากาศครั้งยิ่งใหญ่ในมวลมนุษยชาติ โดยการใช้อำนาจทุกอย่างที่มีในมือ

เกมส์นี้เดิมพันกันหมดหน้าตัก ทั้งเหล่ามาเฟียผู้กุมอำนาจ และตัวเขาเอง โดยมีเงินก้อนโต 76000ล้าน ความรักความศรัทธา และความตาสว่าง

กับการรวมตัวกันของเหล่ามาเฟียทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ เพียงเพื่อที่จะทำลายเขา และยึดทรัพย์ของเขา เขาจะผ่านเรื่องราวเลวร้ายนี้ไปได้หรือไม่

ท่านจะได้พบกับสุดยอดแผนการชั่วร้ายต่างๆ เพียงเพื่อทำลายคนคนเดียว ที่ไม่อาจหาดูได้ที่ไหนอีกแล้วในโลก

สายตาประชาชนทั่วโลกที่คอยจับจ้องอยู่ จะได้รับคำตอบเช่นไร ...

พลาดไม่ได้ !!!!








.

จิตสำนึกประชาธิปไตย จุดเริ่มแห่งการล้มระบอบอมาตย์และระบบชนชั้น

จิตสำนึกประชาธิปไตย จุดเริ่มแห่งการล้มระบอบอมาตย์และระบบชนชั้น
โดย คุณปูนนก

การปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น เกิดจากความคิดพื้นฐานที่ว่า “มนุษย์ทุกคนนั้นเกิดมาเท่าเทียมกัน” และทุกคนมีสิทธิ์และเสรีภาพเหมือน ๆ กัน ถ้าได้รับโอกาสเท่า ๆ กัน มนุษย์ไม่จำเป็นต้องเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงบางชนิดของผู้ปกครอง (ถ้าเขาไม่ต้องการจะเป็น)

การที่ประชาชนทั้งมวลจะมีความสุขได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ก็หมายความว่าประชาชนทุก ๆ คนจะต้องมีสิทธิ และเสรีภาพอันสมบูรณ์ในการปกครองตนเอง มิใช่อาศัย “ผู้วิเศษ” มาปกครองประเทศนี้ เพราะประชาชนไทยคงไม่ต้องการ “ผู้วิเศษ” หน้าไหนมาชี้ทางสว่างให้อีกแล้ว ตั้งแต่มนุษย์ได้ถูกสร้างขึ้นมาในโลกนี้และมีการรวมตัวกันจนเป็นกลุ่มชนเพื่อการอยู่รอดนั้น ระบบการปกครองก็เริ่มเกิดขึ้นเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของการอยู่ร่วมกันของชนหมู่มาก

ในอดีตนั้นผู้ที่แข็งแรงและมีกำลังมากกว่าก็จะเป็นผู้มีอำนาจในการปกครอง เป็นผู้พิจารณา, ตัดสินและปกครองประชากรในกลุ่มนั้น โดยรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่ผู้นำเพียงคนเดียว ต่อมาเมื่อการรวมกลุ่มของหมู่ชนขยายใหญ่ขึ้น และเริ่มที่จะซับซ้อนมากขึ้น การปกครองโดยใช้อำนาจของคน ๆ เดียวในการดูแลทุก ๆ ปัญหาในหมู่ชนก็เริ่มที่จะทำได้ยากขึ้น จึงเกิดระบบตัวแทนของอำนาจการปกครองขึ้น ที่เรียกว่า “อำนาจรัฐ”
โดย “อำนาจรัฐ” นี้ได้ขยายขอบเขตไปอย่างกว้างไกลในทุกพื้นที่ของอาณาจักรนั้น ๆ โดยการอาศัย “ความเชื่อ” และ “ความศรัทธา” ต่ออำนาจการปกครองเดิมที่เคยมีอยู่ในระบบรวมศูนย์ส่วนกลางนั้น โดยมีการถ่ายทอดอำนาจการปกครองตามระบบสายเลือด หรือ โดยการใช้กำลังเข้ายึดครอง

ระบบการปกครองในลักษณะนี้จึงอยู่บนฐานความเชื่อที่ว่า “มนุษย์นั้นเกิดมาไม่เท่าเทียมกัน” มีคนบางคน หรือกลุ่มคนบางกลุ่ม เกิดมาเพื่อเป็นผู้ปกครอง และคนอีกกลุ่มก็เกิดมาเพื่อเป็นผู้อยู่ภายใต้การปกครอง โดยไม่มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงชาติกำเนิดของตน....

ภาพของสังคมที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ ภาพของสังคมที่ยึดถือเรื่อง “วรรณะ” ของประเทศอินเดียในอดีต ที่แบ่งชนชั้นของประชาชนออกเป็นวรรณะต่าง ๆ ตามคตินิยมของความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ ซึ่งมีถึง 4 วรรณะ กับอีก 1 เศษวรรณะ คือ พราหมณ์, กษัตริย์, แพศย์, ศูทร และจัณฑาล คงจะไม่ขอกล่าวถึงในรายละเอียดปลีกย่อย แต่คงกล่าวได้ว่าการแบ่งแยกชนชั้นออกดังนี้ก็คือการล้างสมองคนทั้งชาติเพื่อครอบครองอำนาจต่อไปตลอดกาล ตราบเท่าที่ความเชื่อในเรื่องที่ไม่มีตัวตนและไม่สามารถจับต้องได้ยังคงมีอยู่เช่น เรื่องเทพเจ้า , เรื่องบุญกรรม , เรื่องวาสนาบารมี, ฯลฯ

ในเชิงรัฐศาสตร์การปกครองแล้วมนุษย์นั้นล้วนมีความเท่าเทียมกันภายใต้การปกครองเดียวกัน โดยมีผู้ที่ใช้อำนาจการปกครองนั้น และด้วยความยินยอมของผู้ได้การปกครองเอง ซึ่งความยินยอมของผู้ใต้การปกครองนั้นอาจจะได้มาโดยความเต็มใจหรือไม่เต็่มใจก็ได้....

ประเทศไทยได้รับเอาลักษณะความเชื่อแบบผสมผสานมาจากทั้ง อินเดีย, เขมร และหลายท้องถิ่น แต่โดยรวมแล้วประชาชนไทยเชื่อในเรื่องของ บุญญาบารมี, ชาติภพ, บุญกรรม, ฯลฯ โดยอิงความเป็นความเชื่อที่สอดคล้องกับหลักคำสอนใน “พระพุทธศาสนา”

จนทำให้มีผู้คนจำนวนมากที่ยอม “ศิโรราบ” ต่อความไม่เท่าเทียมกันของการ “กำเนิด” มาตั้งแต่เบื้องต้น โดยเชื่อว่าการที่ตนเองเกิดมา “ด้อยกว่า หรือ ต่ำกว่า” นั้นเป็นเพราะเกิดมาจาก “กรรมเก่า หรือ ไม่มีวาสนา” จนถึงกับมีคำกล่าวเอาไว้เหมือนกฎหมายปิดปากว่า “แข่งเรือแข่งพายนั้นแข่งได้ แต่แข่งบุญวาสนานั้นแข่งไม่ได้”

ซึ่งจริงหรือเปล่าไม่รู้แต่ที่แน่ ๆ ทำให้คนไทยจำนวนมากยอมรับความยากจน และความลำบากชั่วชีวิตโดยดุษฎี เพราะ “ไม่กล้าแข่งวาสนา”

ระบอบการปกครองแบบอมาตย์และชนชั้นนั้น ทำให้มนุษย์ทั่ว ๆ ไปเป็นเพียง “สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง” ที่ไม่เท่าเทียมกับชนชั้นผู้ปกครอง อาจจะมีค่าด้อยกว่า “สัตว์เลี้ยงบางตัว” ของชนชั้นผู้ปกครองด้วยซ้ำ....
ทั้ง ๆ ที่ในทางกายภาพและปัจจัยพื้นฐานแล้ว ระหว่างชนชั้นผู้ปกครองและผู้อยู่ใต้การปกครอง ไม่มีสิ่งใดแตกต่างกันเลยแม้แต่น้อยเพราะต่างก็ต้อง กิน, ดื่ม, หิว, ง่วง, นอน, เจ็บป่วย, ทุกข์ยาก, ยิ้มหัว, สุข, เศร้าหมอง ฯ ด้วยกันทั้งนั้น...

“เจ้าชายสิทธัตถะ” ทรงเล็งเห็นถึงความจริงในข้อนี้ จึงได้ทรงละความเป็นชนชั้นปกครองของพระองค์ และแสวงหาความเป็นจริงแห่งโลกที่จะเป็นภารดรภาพอันแท้จริง และในทีสุดก็ได้ค้นพบว่า “ความสงบเย็นในร่มพระบวรพุทธศาสนา” จะเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ทั้งโลกเป็นพี่น้องกันและเท่าเทียมกันอย่างสมบูรณ์ โดยปราศจากระบบชนชั้นทั้งมวล

น่าเสียดายที่ประเทศไทยได้ทำให้ความเชื่อและความศรัทธาอันสูงส่งของพระองค์เบี่ยงเบนไป โดยนำเอาไปปะปนกับศาสนาพราหมณ์ และเมื่อระยะเวลาอันยาวนานของประวัติศาสตร์ผ่านไป ก็แทบแยกไม่ออกว่าอะไรคือ พุทธแท้ อะไรคือ พราหมณ์ที่ปนเข้ามา เพราะเกือบจะกลายเป็นความเชื่อใหม่ที่เรียกได้ว่า “พุทธก็ไม่ใช่ พราหมณ์ก็ไม่เชิง” และที่สำคัญโดยการ “โฆษณาชวนเชื่อ” ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ประชาชนไทยถูกล้างสมองมาโดยตลอด ทำให้ยิ่งสนับสนุน “ความเชื่อ” ที่ว่า “มนุษย์เกิดมาไม่เท่าเทียมกัน” มากยิ่งขึ้น

ด้วยเหตุนี้พวกเราทุกคนที่เป็นคนไทยทั้งชาติจะต้อง “มีสติ” ยั้งคิดถึงสิ่งที่เป็นจริงในแง่ของเชิงกายภาพที่เกิดขึ้นจริง “ค่อย ๆ พิจารณา” ถึงสิ่งที่กำลังได้รับและกำลังซึมซับเข้าไปสู่สมองว่า “สิ่งนั้นเป็นความจริง หรือเป็นความเชื่อ” แน่นอนว่า “ความเชื่อบางกรณีเป็นความจริง” แต่ขณะเดียวกัน “ความจริงบางอย่างก็ไม่ได้เป็นไปตามความเชื่อเช่นกัน”

ถ้ามีใครบอกท่านว่า “เดวิด คอปเปอร์ฟิล” เดินทะลุกำแพงเมืองจีนได้ ท่านอาจจะบอกว่าได้ว่าเป็นความจริงแต่ท่านคงจะไม่เชื่อจริง ๆ อย่างแน่นอน เพราะความจริงดังกล่าวเกิดจากการ “แสดงมายากล” เท่านั้น

การปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น เกิดจากความคิดพื้นฐานที่ว่า “มนุษย์ทุกคนนั้นเกิดมาเท่าเทียมกัน” และทุกคนมีสิทธิ์และเสรีภาพเหมือน ๆ กัน ถ้าได้รับโอกาสเท่า ๆ กัน มนุษย์ไม่จำเป็นต้องเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงบางชนิดของผู้ปกครอง (ถ้าเขาไม่ต้องการจะเป็น)

การใช้ “สติ” พิสูจน์ให้เห็นความจริงที่เป็นจริงของชีวิต ไม่ใช่เกิดจาก “จินตนการณ์” ทางความเชื่อ ถ้าประชาชนไทยทุก ๆ คนเข้าใจอย่างแท้จริงโดยไม่เกิดการหลงใหลไปตามความเชื่อที่ครอบงำมานาน พวกเขาก็จะมองเห็นได้เองว่า “มนุษย์นั้นแท้ที่จริงแล้วก็มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน” มีความต้องการพื้นฐานที่เหมือน ๆ กัน

แต่ระบอบอมาตย์และระบบชนชั้นนั้นได้มาแบ่งแยก และกีดกันประชนชนออกไปจากอำนาจปกครองนั้น แล้วฉกฉวยผลประโยชน์จาก “หยาดเหงื่อแรงงาน” ของผู้อยู่ใต้การปกครองอย่างไม่เป็นธรรม

ด้วยเหตุนี้ การต่อสู้เพื่อนำประชาธิปไตยกลับมาสู่ประเทศในครั้งนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่พี่น้องคนไทยทั้งหลายจะต้อง “เปลี่ยนความคิด” และ “มุมมอง” ในเรื่องชีวิตเสียใหม่ โดยมองชีวิตและเรื่องการปกครองในแนวทาง “รัฐศาสตร์ที่เป็นจริง” มิใช่มองเรื่องการปกครองเป็นเรื่องของ “จินตนาการณ์ที่เพ้อฝัน”

การที่ประชาชนทั้งมวลจะมีความสุขได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ก็หมายความว่าประชาชนทุก ๆ คนจะต้องมีสิทธิ และเสรีภาพอันสมบูรณ์ในการปกครองตนเอง มิใช่อาศัย “ผู้วิเศษ” มาปกครองประเทศนี้

เพราะประชาชนไทยคงไม่ต้องการ “ผู้วิเศษ” หน้าไหนมาชี้ทางสว่างให้อีกแล้ว

บ้านเมืองของเรานั้น ‘ความยุติธรรม’ ได้สูญสิ้นไปแล้ว!

บ้านเมืองของเรานั้น ‘ความยุติธรรม’ ได้สูญสิ้นไปแล้ว!
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


จุดมุ่งหมายที่ชัดเจนของผม ในการเขียนบทความ มันกล้า ‘ยึดทรัพย์’ ...พระเจ้าแผ่นดิน!!! เมื่อสัปดาห์ก่อนคือ ก็เพียงเพื่อที่จะชี้ ให้ท่านผู้อ่านเห็นว่า การยึดอำนาจด้วยปากกระบอกปืนนั้น เป็นเรื่องไม่ถูกต้องชอบธรรม...โลกอารยะเขารับกันไม่ได้!

มีข้อน่าสังเกตว่า

คนที่ยึดอำนาจด้วย ‘ปืน’ นั้น ต่อมาเขาก็ไม่ได้รับความเคารพนับถือจากผู้คนในบ้านเมือง แถมยังตกเป็นขี้ปากของผู้คนเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 หรือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพล ประภาส จารุเสถียร นายพล สุนทร คงสมพงศ์ นายพล สุจินดา คราประยูร แม้กระทั่ง “ไอ้บัง กบฏ” เองก็เถอะ! ตอนนี้มีใครที่ไหน เขาตั้งวงเรียกร้องให้ “ไอ้บัง” มันมาเป็น ‘ผู้นำ’ ชาติบ้านเมืองของเราบ้างล่ะ!?

ถึงแม้ว่าตัว “ไอ้บัง กบฏ” มันจะกลายเป็นคนมีเงินมีทอง เพราะร่ำรวยจากผลพวงของการยึดอำนาจไปแล้ว อีกทั้งยังจับพลัดจับพลู ได้ไปเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองเล็กๆ ที่ดูกระจอกงอกง่อยเต็มที เพราะผลโพลสำรวจที่ออกมา เขาบอกว่า หากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในวันนี้ แม้เพียง 1 ที่ตั้ง ในสภาก็ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ ด้วยคะแนนเสียงความนิยมของพรรคที่ “ไอ้บัง” ไปเป็นหัวหน้านั้น ยังไม่พอได้ผู้แทนเพียงแค่ 1 คนด้วยซ้ำไป!

ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ ใครก็ตามที่เคยเป็นผู้รักษากฎหมาย คงยอมไม่ได้เด็ดขาดหากจะปล่อยให้นักเลงหัวไม้ ควงปืนโตไปไล่ข่มขู่ชาวบ้าน ถึงในบ้านเรือนของพวกเขา และไล่เจ้าของบ้านออกไป เราจะต้องเข้าไปจัดการทันทีทันใด เพื่อรีบดับความทุกข์ร้อนของชาวบ้าน อย่างไม่รอช้า! ในทำนองเดียวกัน เมื่อเห็นทหารควงปืนหลวง ออกมายึดอำนาจการปกครองบ้านเมือง ผู้คนเขาก็ขัดเคือง ไม่พอใจ เพราะแทนที่จะเป็นรั้วของชาติ เสือกเป็นฝ่ายเอาปืนมา ‘ข่มขู่’ ชาวบ้านเสียเอง

ผมเองก็เป็นเช่นนั้น...ทนไม่ได้เหมือนกัน!

จึงได้วิจารณ์แหลกลาญ ทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์และเว็บไซด์ ซึ่งผู้ที่เคยอ่านหนังสือ “รัดทำมะนวย ฉบับหัวคูณ” ของผมคงจะรู้ดี! ก่อนถึง วันพิพากษาคดีของคุณทักษิณนั้น บ้านเมืองเราแตกออกเป็นเสี่ยงๆเรียบร้อยไปแล้ว เพราะผลพวงที่พวก ‘ไอ้บัง’ กับพวก มันทำร้ายประเทศชาติ อันเป็นที่รักของพวกเรา คนในชาติเขาเห็นว่า กระบวนการพิจารณา ที่ใช้ดำเนินคดีกับทักษิณนั้น ไม่เป็นธรรม!


ส่วนผู้ที่เป็นฝ่ายตรงข้าม ต่างพยายามแสดงความเห็นด้วย กับการยึดอำนาจ ว่าเป็นของดีงาม เป็นเรื่องที่ถูกต้องก็ยังมี ไม่น่าเชื่อว่า 'มันโง่’ กันถึงขนาดเลย!


คนที่เป็นอาจารย์ตามมหาวิทยาลัย ต่างออกมาแสดงความคิดเห็นต่างๆนาๆ ส่วนใหญ่ก็ได้ร้องขอผู้คนในบ้านในเมือง ให้เคารพในคำพิพากษาของศาล โดยเฉพาะ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์กฎหมาย ได้แสดงความคิดเห็นในเรื่องของการยึดทรัพย์ ทางวิทยุ Fm 96.5 “คลื่นความคิด” โดยเขาได้จีบปากจีบคออธิบายความ ว่า การ ‘ยึดทรัพย์’ นั้น ศาลสามารถพิจารณาจากทรัพย์สินเดิมที่มีอยู่ ซึ่งเคยแจ้งกับทางการ ส่วนทรัพย์สินที่งอกเงยขึ้นมา หากเห็นว่าได้มาโดยไม่ชอบก็ยึดส่วนนั้น หรือศาลอาจยึดหมดเลยเพราะเป็นทรัพย์สินที่ “เกี่ยวข้อง” กัน ตามทฤษฎี “ควายในทุ่งหญ้า” ของไอ้หน้า E.T. ...อย่างที่พูดกัน


ที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือ นายปริญญาฯ ในฐานะที่เป็นคนสอนกฎหมาย ไม่ได้พูดย้อนหลังไป ให้คนฟังเขาเข้าใจ ว่า การที่คุณทักษิณฯถูกสอบสวนนั้น เป็นเพราะผลพวงของการรัฐประหาร ซึ่ง “ไอ้บัง กบฏ” มันตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมาสอบสวนหาความผิด คือ... “ไอ้พวก ค.ต.ส.” นั่นเอง

การ กระทำของ “ไอ้บัง กบฏ” เป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่มีอยู่ คือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งยังใช้อยู่ในวันที่ทำรัฐประหาร และยังใช้มาจนปัจจุบัน เมื่อสอบสวนเสร็จแล้ว ให้ส่งสำนวนไปยังพนักงานอัยการ หากพนักงานอัยการไม่เห็นด้วย ยังเอาเงินหลวงไปจ้างทนายมาฟ้องร้องเองได้อีก ผมฟังนายปริญญาฯ พูด เลยอยากเปลี่ยนชื่อ Fm 96.5 ว่าเป็นคลื่น “คลื่นความคิด...หด” เพราะ... ฟังแล้ว ‘หด’...หดหู่...จริงๆ!

คลื่นเดียวกันนี้ ก่อนหน้าไม่กี่วัน นายวีระ ธีรภัทร ซึ่ง แม้ว่า จะไม่ใช่นักกฎหมาย เพียงแกเป็นนักข่าวมายาวนาน แต่ถึงกระนั้นยังออกมาแสดงความเห็น ที่ ‘เข้าท่า’ กว่านายปริญญาด้วยซ้ำไป โดยบอกว่า เรื่องตั้ง ค.ต.ส. ขึ้นมาสอบสวนทักษิณนั้น...แกรับไม่ได้! ค.ต.ส. มีความพิเศษอีกอย่าง ไม่เหมือนพนักงานสอบสวนปกติ ตรงที่สามารถเบิกเงินหลวง ไปจ้างทนายฟ้องร้องเองได้ ซึ่งก็เบิกไปจ่ายแล้วนับสิบล้านบาท สนุกสนานบานเบิกกันไป แต่ยอดเงินหลวงที่แท้จริง ซึ่งจ่ายไปนั้น ยังปิดกันอยู่ว่าใครเบิกเป็นเงินเท่าไหร่ แต่ข่าวเขาว่ามันแพงบรรลัยเลยทีเดียว คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่ผมจะไปหามารายงานแฟนๆ ว่ามันแพงหรือมันมีราคาเท่าไหร่กันแน่?

ท่านผู้อ่านก็คงเห็นได้ชัดจาก ‘คดีกล้ายาง’ และ ‘คดีหวยบนดิน’ ซึ่งไอ้หน้า E.T. ‘แก้วสรร อติโพธิ ‘ มันกำเริบเสิบสาน โดยหวังจะเป็นฝ่ายต่อยเข้าปลายคาง จนฝ่ายคุณทักษิณสลบเหมือดได้ มันถึงกับพูดว่า จะไม่จับทุจริตเป็นรายตัว แต่จะเอาไฟฟ้าช็อตให้ตายหมู่!” มันพูดอย่างนี้จริงๆ ครับ เพราะสื่อเขาเอามาลงกันให้เกร่อ...ช่าง ‘ระยำ’ ได้สุดขั้วแท้ๆ!

ผมเคยเขียนบอกว่า การที่เจ้า E.T. พูดด้วยความ “มุ่งร้าย” อย่างนั้น ผิดหลักจรรยาของพนักงานสอบสวน ที่แสดงความไม่เป็นกลาง เต็มไปด้วยอคติ เหลิงลำพองในอำนาจ ที่ตัวมันเองไม่เคยมีมาก่อนเลยในชีวิต เพราะคิดว่าจะเชือดคณะรัฐมนตรีของทักษิณ ให้ “ตายหมู่” ทั้งในคดีหวยบนดิน และคดีกล้ายาง...แล้วผลคดีเป็นอย่างไรครับ!? ...หลุดเกลี้ยงหมด! ไม่มีใครต้องติดตะรางสักคน ศาลท่านก็ไม่ยึดทรัพย์ไม่ว่าเป็นที่ดิน เงิน หรือให้ตัวจำเลยคนไหนชดใช้เงิน ตามคำร้องแม้แต่บาทเดียว ...เห็นกันหรือยังล่ะ?

ต้องเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบว่า ผมด่ามันเช็ดเม็ดมาตั้งแต่ ไอ้พวก ค.ม.ช.ยังอยู่ในอำนาจ ด้วยบทความชื่อ “ทหาร” กับ “ชาวบ้าน” อาจต้องตะลุมบอนกันอีกรอบ ที่เขียนลง ‘ผู้จัดการออนไลน์’ มาตั้งแต่ 7 พ.ย.2549 (หลังปฏิวัติไม่ถึง 2 เดือนด้วย) และนำมาลงในหนังสือ “รัดทำมะนวย ฉบับหัวคูณ” ซึ่ง บัดนี้ ได้กลายเป็นคัมภีร์การเมืองโด่งดังอีกด้วย แม้แต่ทางสถาบันพระปกเกล้า ที่คนในนั้นเคยวิพากษ์วิจารณ์ผมแรงๆ ยังต้องมีเอาไปไว้ใน... ห้องสมุดสถาบัน ด้วยซ้ำไป!

จึงเห็นว่าเป็นการดี เพราะคนที่เข้าไปเรียนจะไม่ ‘โง่ดักดาน’ หรือคอยตามเลียตูดเผด็จการ เหมือนไอ้คนในสถาบันบางคน ที่เคยวิพากษ์วิจารณ์หนังสือเล่มนี้ เอาไว้ก่อนหน้านั้น!! ผมขอบอกกับท่านผู้อ่านดังๆ และอยากให้ดังจนได้ยินไปถึงผู้พิพากษาซึ่งมีหน้าที่รักษาความเป็นธรรม ทั้งหลายว่า การกระทำของแก๊ง ค.ม.ช.นั้น ได้รับการวางแผนทางกฎหมายอย่างแยบยล จากฝีมือของ “ไอ้มีชัย กบาลใส”

วิธีการอันต่ำช้าของมัน ก็คือ...ตั้งกรรมการสอบสวน ซึ่งประกอบด้วยบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์กับทักษิณขึ้น โดยอำนาจของคณะปฏิวัติ ซึ่งไม่ชอบธรรม แต่เมื่อสอบสวนเสร็จ ก็ให้มาโยงกับหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้อง คือ อัยการ และศาล เพื่อให้ดูดีและถูกต้อง


แท้ที่จริงแล้ว มันกระบวนการยุติธรรมซึ่งไร้ซึ่ง“ศุภนิติกระบวน” (Due Process) ออกกฎหมายมายังคับเฉพาะบุคคล เลือกปฏิบัติ และที่สำคัญคือ...ละเมิดสิทธิมนุษยชน...อย่างร้ายแรง!!! ก่อนถึงวันพิพากษาคดีคุณทักษิณฯ ได้มีเรื่องดังเกิดขึ้น กรณี ป.ป.ช. ออกข่าวว่า เริ่มกระบวนการไต่สวนผู้พิพากษาที่ออกหมายจับ นายสุนัย มโนมัยพิบูล อดีตอธิบดี DSI กรณีหมิ่นคุณทักษิณฯ คณะผู้พิพากษาได้ออกมาเคลื่อนไหว โดยบอกว่าผู้พิพากษาศาลอยุธยา ได้ใช้ดุลยพินิจโดยถูกต้อง ชอบธรรมแล้ว เพราะเป็นกรณีขัดหมายเรียกถึงสองครั้ง อีกทั้งผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน ก็ได้มีการหารือผู้พิพากษาผู้ใหญ่ ไม่ได้ทำโดยพลการหรือลุแก่อำนาจด้วยซ้ำไป

ฝ่าย ป.ป.ช.ก็ได้โต้แย้ง ทั้งกรรมการคนหนึ่งยังอ้างความเป็นผู้พิพากษามาก่อน และความเป็นครูบาอาจารย์ มาข่มลูกศิษย์ผู้พิพากษาที่พวกตนชี้มูลความผิดเสียอีก ...ดูมันทำ!


ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ นี่ขนาดผู้พิพากษา เมื่อโดนเข้ากับตัวเอง หรือพวกตัวเองเข้าบ้าง ยังต้องร้องเรียนขอความเป็นธรรม เพื่อนผู้พิพากษาด้วยกัน ก็ช่วยกันออกมาเคลื่อนไหวกันอลหม่าน จนทำให้ผู้คนในบ้านในเมืองวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนาๆ

- บ้างก็ถือหางฝ่าย ป.ป.ช.
- ที่ถือหาง ฝั่งผู้พิพากษา ก็มีมาก


ปัญหาเลยไปตกอยู่ที่ว่า ใครที่เป็นฝ่าย ‘ถูกต้องชอบธรรม’ กันแน่!? ย้อนไปดูคดีความของคุณทักษิณฯบ้าง ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเรื่องของผู้พิพากษาที่ถูกกล่าวหา ผิดกันแต่ว่า ผู้สนับสนุนคุณทักษิณฯนั้น
เป็นประชาชน...จำนวนมากมาย


เมื่อ พวกเขาเห็นว่า คุณทักษิณฯไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาก็พากันออกมาเคลื่อนไหว คัดค้าน ในรูปแบบที่ไม่แตกต่างจากท่านผู้พิพากษา เพียงแต่คณะผู้พิพากษานั้น ไม่สามารถออกมาสู่ถนนเพื่อชุมนุมแสดงพลังได้ ด้วยเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควรต่อฐานานุรูปของความเป็นผู้พิพากษา แต่ประชาชนนั้น...ทำได้!


ชาวบ้านเขาเขาเห็นชัดเจนว่า ทักษิณได้ถูกนำเข้าสู่ด้วยกระบวนการพิจารณาทางกฎหมายที่บิดเบี้ยวไม่ชอบธรรม เพราะคณะรัฐประหาร เป็นผู้สั่งให้มีการดำเนินการนั่นเอง ไม่ได้เป็นไปตามระบบกฎหมายปกติ ที่น่า ‘ทุเรศ’ มากที่สุดก็คือ แม้อำนาจคณะรัฐประหารหมดไปแล้ว ยังมีคนเอาหัวโขกกระดาน คำนับและเคารพ โดยกล่าวว่า ต้องยึดตามคำสั่งของ “ไอ้บัง กบฏ” มันอีก!


อีตรงนี้ ซิครับท่าน...มันน่าเจ็บแสบจริงๆ!! ที่มันเจ็บก็เพราะว่า เราเป็นคนไทยเป็นชาติที่มีอิสรเสรี ไม่ได้เป็นทาสที่เขาปล่อยแล้ว เสือกยังไม่ยอมไปอีก เพราะถึงวันนี้ อำนาจของคณะรัฐประหารพวก ‘ไอ้บัง กบฏ’ หมดไปแล้ว แต่การที่มีความพยายาม ที่จะนำแอกพร้อมกระดึง หรือคำสั่งของไอ้เวร ‘บัง’ มาไว้บนคอบนไหล่กันอีก นั้น มันน่าสมเพช...นะครับท่าน!


ชาวบ้านเขาเห็นว่า มันไม่สมควร ไม่ถูกต้องและไปเป็นธรรมต่อคุณทักษิณ ทำให้ความยุติธรรม...
มีอันต้องบิดเบี้ยว...เสียหายไป!


ที่ประชาชนเขาออกมาเคลื่อนไหว เป็นปากเสียงให้คุณทักษิณ เขาทำด้วยความเต็มใจ เพราะชาวบ้านได้ประโยชน์สูงจากการบริหารงานของทักษิณและคณะ ไม่ว่าจะเป็นโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค, กองทุนหมู่บ้าน,ฯลฯ อย่างที่เรารู้ๆกัน ชนิดที่ไม่เคนมีผู้ปกครอง หรือนักการเมืองหน้าไหน เคยสร้างให้กับผู้คนในบ้านเมืองได้ทั่วถึงและมีประสิทธิภาพอย่างยิ่งยวด...มาก่อนหน้านี้เลย!!


ดังนั้น ผมจึงแสดงได้ความดีใจและเป็นปลื้มใจเป็นล้นพ้น ที่ท่านกีรติ กาญจนรินทร์ ผู้พิพากษาศาฎีกา ท่านแสดงความองอาจ สร้างคำวินิจฉัยที่กล้าหาญสะท้านโลก เคาะกะโหลกไอ้พวกยึดอำนาจว่า หากศาลรับรองอำนาจของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหารว่า เป็นรัฏฐาธิปัตย์แล้ว เท่ากับศาลไม่ได้รับใช้ประชาชน จากการใช้อำนาจโดยมิชอบและเพิกเฉยต่อการปกปักรักษาประชาธิปไตยดังกล่าวมา ข้างต้น ทั้งเป็นการละเลยหลักยุติธรรมตามธรรมชาติที่ว่าบุคคลใดจะรับประโยชน์จากความ ฉ้อฉลหรือความผิดของตนเองหาได้ไม่ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็น ‘วงจรอุบาทว์’ อยู่ร่ำไป ยิ่งกว่านั้นยังเป็นช่องทางให้บุคคลหรือคณะบุคคลดังกล่าวยืมมือกฎหมายเข้ามาจัดการสิ่งต่างๆ


อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งธนบุรี ท่านศรีอัมพร ศาลิคุปต์ เพิ่ง อ้างอำนาจอธิปไตย ซึ่งอำนาจศาลหรือตุลาการเป็นหนึ่งในสามอำนาจนั้น ในการปกป้องผู้พิพากษาศาลอยุธยา ที่ถูก ป.ป.ช.กล่าวหาและตั้งกรรมการขึ้นมาไต่สวนไปหยกๆ


ดังนั้น คำพิพากษากรณีคุณทักษิณฯ ที่จะออกมาในวันที่ 26 ก.พ. นั้น คนไทยจำนวนมากในประเทศนี้ ที่เขาแสวงหาความเป็นธรรม คงจะปลาบปลื้ม ถ้าศาลท่านยืนยันในหลักการ ที่จะรักษาอำนาจศาล ซึ่งเป็นหนึ่งในอำนาจอธิปไตย โดยไม่อินังขังขอบกับคำสั่งของหัวหน้าคณะรัฐประหารอย่าง...‘ไอ้บัง สามจิ๋ม’


แต่หากศาลท่านยังจะยึดถือว่า คำสั่งของกบฏอย่าง “ไอ้บัง” เป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ ในขณะที่ตัวมันจะพ้นอำนาจไปนานแล้ว (แม้แต่ ป.ป.ช.ภาคประชาชน ก็แสดงทีท่าจะฟ้องร้องเอาเรื่องทุจริต) แล้วศาลท่านจะมีคำสั่งยึดเงิน 76,000 ล้านบาท ผมก็ไม่แปลกใจอะไรเลย เพียงแต่คิดว่า เงิน จำนวนนี้ที่ยึดได้นี้ มันคงจะไม่พอสำหรับการซ่อมแซมประเทศ ที่จะต้องเสียหายอีกต่อไป เพราะความแตกร้าว ความเกลียดชังซึ่งกันและกัน ซึ่งปัจจุบันนี้... มันล้ำลึก...สุดพรรณนาแล้ว!

เฉพาะความเกลียดชังของชาวบ้าน ต่อคนที่มีอำนาจในปัจจุบัน ที่ฉกฉวยเอาประโยชน์ จากการพิจารณาของศาลในครั้งนี้ มาตั้งแต่ยังไม่มีคำตัดสิน แต่ก็ได้ใช้สื่อของรัฐที่ฝ่ายตนควบคุม ปลุกระดม บ่มเพาะความแตกแยก ให้ผู้คนในบ้านในเมือง เพียงเพื่อให้ฝ่ายตนอยู่ต่อในอำนาจ เพื่อจะได้ ‘มูมมาม’ กันต่อไปในตำแหน่ง...ก็เท่านั้นเอง


แต่ความแตกแยกของผู้คน ยิ่งแผ่ขยาย กว้างไกลไปสุดกู่......น่าหดหู่ใจนัก!!


เผลอๆเราอาจต้องใส่เงินทองของชาติ ลงไปอีกหลายแสนล้าน เพื่อซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง แต่ถึงแม้จะซ่อมได้ก็คงไม่เหมือนเดิม เหมือนแก้วแตกเอาเศษมาปะติดใหม่ อย่างไรอย่างนั้น ถ้าบังเอิญ ประเทศของเราโชคร้าย... อาจต้องสังเวยด้วยชีวิตคนเป็นจำนวนมาก ถ้าหากความไม่สงบเกิดขึ้นในแผ่นดินจริงๆ เพราะประชาชนคนในชาติ คงยอมไม่ได้ ด้วยเขาเห็นเป็นที่ประจักษ์ ชัดเจนแล้วว่า

บ้านเมืองของเรานั้น ‘ความยุติธรรม’ ได้สูญสิ้นไปแล้ว!..........



****ท้ายบท****

ท่านผู้อ่าน ที่ต้องการทราบถึงกระบวนการยุติธรรมอัน
บิด เบี้ยวของบ้านเรา ในการจองล้างจองผลาญทักษิณ โปรดเข้าไปอ่านต่อใน 2 คอลัมน์สำคัญ ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกัน และได้รับความสนใจจากท่านผู้อ่านเป็นจำนวนมาก คือ

1.ไทยกับกระบวนการ ‘ไม่’ ยุติธรรม อันน่าอับอาย!!! http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=186 (จำนวนผู้อ่านแล้วร่วมครึ่งหมื่นราย)
2. จดหมายฟ้องโลก!!!http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=187 (จำนวนผู้อ่านแล้ว เกือบหนึ่งหมื่นสองพันราย) สำหรับจดหมายฟ้องโลก ได้แพร่หลายไปสู่สถานทูตทุกประเทศ ผู้นำชาติต่างๆ สถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงทางกฎหมายทั้งในและต่างประเทศ

อ่านแล้วท่านจะเข้าใจถึงความ ‘ไม่ยุติธรรม’ ที่แผ่ปกคลุมบ้านเมืองของเรา และสร้างปัญหาความแตกแยก ร้าวลึก ยากที่จะแก้ไขให้กลับคืนมาได้...ตราบจนกระทั่งถึงวันนี้!!

ด้วยความเคารพ
วาทตะวัน

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ทำไมการออกมาขับไล่อำมาตย์ และรัฐบาลครั้งนี้ จึงต้องนองเลือด 1



ทำไมการออกมาขับไล่อำมาตย์ และรัฐบาลครั้งนี้ จึงต้องนองเลือด 1

โดย.. อ่างขาง
วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2010 เวลา 14:44 น.
http://www.redthai.org/index.php?option=com_content&view=article&id=778



ตอนที่1. เหตุผลที่อำมาตย์ต้องออกมาฆ่าประชาชน

ภาพที่มองกัน ณตอนนี้ คนเสื้อแดงไม่ค่อยมีเอกภาพในการต่อสู้ ต่างคนต่างคิด เมื่อความคิดไม่ตรงกัน ก็แยกย้ายกันออกมาต่อสู้เพียงลำพัง ต่างคนต่างมีวิธีการของตนเอง ที่คิดว่าดีที่สุดแล้วนำเสนอแบบตัวใครตัวมัน แต่ข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร

เริ่มต้นจากแนวคิด

1. เพื่อล้มอำมาตย์ เอาความยุติธรรมคืนกลับมา อันนี้ทุกกลุ่มเห็นด้วย และคิดว่าเดินมาถูกทางแล้ว

2. จากข้อ1. บวกกับความต้องการที่จะเอาคุณทักษิณกลับมาเป็นผู้นำด้วย อันนี้เริ่มมีความคิดแตกออกไป สิ่งที่เห็นได้ชัดคือกลุ่มของ 19กย. ได้ถอนตัวออกไปนานแล้ว

3. เอาไหนเอาด้วยกับทุกฝ่าย รู้แต่เพียงว่า เกลียดการยึดอำนาจไม่เอาเปรม ไม่เอามาร์คแค่นั้นเป็นพอ

จากแนวความคิด มาเป็นยุทธศาสตร์ของการต่อสู้

กลุ่มที่1: มีสามเกลอเป็นแกนนำ ต้องการสู้แบบอหิงสาอย่างเดียวโดยเอามวลชนจำนวนมากออกมาต่อสู้ เอาสังคมโลกเป็นตัวบีบคั้นรัฐบาล เอาตัวเองเป็นโล่ ยึดถือความปลอดภัยของผู้ชุมนุมเป็นหลัก

กลุ่มที่2:มีเสธ.แดงเป็นแกนนำ ต้องการสู้แบบวิธีการรบตามทฤษฎีที่ได้เคยเล่าเรียนมา ในความเชื่อที่ว่า “ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงครั้งไหน ที่จะได้มาเปล่าๆ โดยไม่เสียเลือดเนื้อ” ทุกคนเป็นผู้เสียสละทั้งสิ้นแพ้ก็คือคุกหรือตาย ชนะก็คืออำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

กลุ่มที่ 3:มีกลุ่ม สส. เพื่อไทยที่ยังไม่ออกมาต่อสู้เป็นแกนนำด้วย ต้องการสู้ในระบอบรัฐสภาฯ เปลี่ยนรัฐธรรมนูญให้ได้ และต้องเปลี่ยนขั้วการเมืองใหม่

จากยุทธศาสตร์เปลี่ยนเป็นยุทธวิธี

กลุ่มที่1: สะสมมวลชนโดยการให้ความจริงกับประชาชน แสวงหาแนวร่วมเดินสายออกไปเรื่อยๆ เผยแพร่ข่าวสารออกไปทุกทิศทุกทาง เพื่อให้ถึงประชาชนให้ได้มากที่สุด มีทีวี เว็บไซด์ หนังสือพิมพ์ วิทยุชุมชน เป็นเครื่องมือ ใช้เวลาเพาะบ่ม1 ปีหลังจากพ่ายแพ้ไปในสงกรานต์เลือด ซึ่งกลุ่มนี้ทำงานได้ผลเป็นที่น่าพอใจ และคาดว่ามีแนวร่วมอย่างมหาศาลแล้ว

กลุ่มที่2: หน่วยกำลังรบหลักมืออาชีพเข้ามาเสริม สร้างเครดิตให้กับผู้นำกลุ่มเช่น มีวิวาทะกับผู้นำกองทัพหลักของรัฐบาล แสดงผลงานให้เห็นเป็นประจักษ์ด้วยวาจาศักดิ์สิทธิ์พูดคำไหนคำนั้น กลุ่มนี้แอบอิงกับกลุ่มที่ 1 เพื่อดึงแนวร่วมที่มีความคิดใกล้เคียงกันออกมา มีแนวร่วมจากภาคเหนือแอบเข้ามาสมทบมากมาย สู้ในรูปแบบสะใจ ความอดกลั้นน้อย

กลุ่มที่3: การเอาข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามออกมาเปิดเผย สร้างจุดบอด ปมด้อย ความไม่ชอบมาพากล การช่อราษฎรบังหลวง ของฝ่ายศัตรูออกมาถล่ม และต้องการให้ยุบสภาฯ โดยเร็วหาทางแก้ไขรัฐธรรมนูญไปด้วย

จากยุทธวิธีไปสู่หนทางที่จะปฏิบัติให้เป็นจริงเพื่อเป็นยุทธการในการต่อสู้

ทั้ง3 กลุ่มรอฟังสัญญาณจากคณะผู้วางแผนที่มีคุณทักษิณเป็นตัวชี้ขาด วัน เวลา สถานที่

กลุ่มที่1: เดินไปตามแผนที่วางไว้เป็นปกติ ที่คาดว่ามีประชาชนร่วมสนับสนุนเป็นล้านคนในกรุงเทพฯ

กลุ่มที่2:เข้ามาร่วมในกลุ่มที่1ด้วย ในความสงบยังอดทนไม่ใช้ความรุนแรง ส่วนหนึ่งมาเป็นการ์ดคุ้มกันให้กับประชาชน แต่เมื่อเกิดเหตุจะใช้กำลังเข้ามาช่วยในภายหลัง

กลุ่มที่3:สส. ในพื้นที่จะสนับสนุนด้านเงินเป็นบางส่วน นำคนเข้ามาตามที่ได้กะเกนกันไว้สส.1คนเอาคนมาร่วม อย่างน้อยห้าพันคน

การแสดงออกต่อหน้าสาธารณะชน

กลุ่มที่1: ของสามเกลอแสดงออกอย่างแน่ชัด ไม่เอากลุ่ม2ที่มีเสธ.แดงเป็นแกนนำ และแยกกันขาด ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ดีมาก เพราะเป็นแนวทางที่เรียกความศรัทธาให้กับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้มาก อีกทั้งเป็นที่ยอมรับในโลกสากล และเมื่อสงครามสิ้นสุดตัวคุณทักษิณก็จะไม่บอบช้ำจนเกินไป และยังสามารถกลับมาเป็นผู้นำของประเทศนี้ได้อีกครั้งอย่างสง่างาม

กลุ่มที่2:เสธ. แดงเองก็อดทนพอที่จะยอมรับการบอบช้ำตัวเองในครั้งนี้อย่างหน้าชื่นตาบาน ทั้งที่ไม่ใช่วิสัยของ เสธ.แดงที่ควรจะเป็น ขนาดเจ้านายในสายงาน เสธ. แดงยังไม่ยอมได้ถึงขนาดนี้ ถือว่าด้านการแสดงออกในครั้งนี้ ทำงานได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม

กลุ่มที่3:สส. ในพื้นที่จัดเวทีปราศรัยให้ความรู้กับประชาชน และตรวจสอบจำนวนผู้คนที่จะลงมาที่กรุงเทพฯ

มาดูฝ่ายอำมาตย์กันบ้าง

ภาพที่ออกมาตอนนี้ก็ขัดแย้งกันเองมิใช่น้อย เริ่มจากมหาอำมาตย์ใหญ่เริ่มแสดงออกถึงการไม่พอใจทั้งรัฐบาล และกองทัพ ทั้งเรื่องที่ให้ความสำคัญกับรองผบ.ทบ.มากว่าผบ.ทบ. และการออกมาให้สัมภาษณ์ของพล.อ.สุรยุทธ์ ที่ตำหนิรัฐบาลเรื่องเขายายเที่ยง และเขาสอยดาว รัฐบาลไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้ทั้งที่พวกเขาส่งเสริม และแต่งตั้งรัฐบาลชุดนี้มากับมือ

กองทัพเองก็มีปัญหากับรัฐบาลเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง “ไม้จิ้มอึ” มีการตอบโต้กันพอสมควรถึงขนาดเปิดทีวีแถลงข่าวกันเลย แต่เมื่อถึงเวลา ทั้งหมดจะร่วมจับมือกันอีกครั้ง ด้วยความตั้งใจ แต่นัยของเรื่องนี้ ที่จะออกมาในอนาคตจะต่างกัน กล่าวคือฝ่ายที่เป็นทหารอาจจะเปลี่ยนตัวผู้นำรัฐบาลใหม่หรือถ้าใจถึงอาจจะถึงการ ยึดอำนาจเลยก็ได้ ส่วนหัวหน้ารัฐบาลเพียงแต่ขอให้ทหารช่วยหน่อย และขอเป็นรัฐบาลต่อเท่านั้น จะเอาอะไรก็ยอม

คาดการว่า การวางแผน ใช้ความรุนแรง เข่นฆ่า อำพรางศพ ประชาชนในครั้งที่จะมาถึงนี้มีแน่นอน แต่ต้องเปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่ ให้กลายเป็นว่าประชาชนรบกันเอง รัฐบาล และกลไกของรัฐไม่เกี่ยวข้องด้วย สื่อทุกสื่อที่เป็นของรัฐจะนำออกมาใช้ ช่วยกันประโคมข่าวว่าประชาชนฆ่ากันเอง เหตุเพราะในทางการต่างประเทศ รัฐบาลติดลบเป็นอย่างมาก สิ่งที่เห็นได้ชัดเป็นรูปธรรมคือการประชุมอาเชี่ยนที่หัวหิน มีผู้นำหลายประเทศแสดงออกเรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัด และองค์กรสิทธิ์มนุษย์ชนระหว่างประเทศ ออกมาประณามรัฐบาลเรื่องนี้ในเวลาต่อมา

คำถามที่ตามมา รู้ได้อย่างไร พวกอำมาตย์ และทาสผู้ซื่อสัตย์จะใช้กำลัง และอาวุธออกมาปราบปรามประชาชน

คำตอบมีให้เห็นเมื่อครั้งเมย.เลือดที่ผ่านมาแล้ว ณ.ตอนนั้นประชาชนยังไม่ได้เอาความเลว ความคดโกงของพล.อ.เปรมออกมาแฉเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ประณามท่านในการทำรัฐประหารเท่านั้น ท่านเองยังทนไม่ได้ แล้วในขณะนี้เกิดอะไรขึ้น คนเสื้อแดงออกมาตราหน้าว่าอยู่เบื้องหลังการเอาสมชาติที่เป็นป่าสงวนมาเป็นสมบัติส่วนตัว รับเงินมีรายได้แต่ไม่ยอมเสียภาษี ตั้งมูลนิธิบังหน้าแล้วหาเงินเข้าตัวเอง ทุกอย่างที่ยังไม่รู้ กำลังถูกผู้หวังดีส่งข้อมูลมาให้อีกเรื่อยๆ จะออกมาเปิดเผยไม่รู้จบ ถ้าพล.อ.เปรมไม่จัดการเรื่องนี้ให้สิ้นซากไป ตัวท่านเองอาจจะไม่เหลืออะไรอีกเลย สูญเสียทุกอย่างในชีวิตไปจนหมดสิ้น เกียรติยศ เชื่อเสียง บารมี เงิน รายได้ หรือแม้กระทั้งแผ่นดินก็อาจจะไม่มีให้เป็นที่ฝังศพ ท่านไม่ทำไม่ได้จริงๆ ถ้าทำอาจจะมีทางรอด

นักการเมืองเลวๆ ที่เอาแต่กัดกินประเทศนี้อยู่ ขณะนี้เป็นนาทีทอง ที่จะกอบโกย หลังจากนี้ต่อไปคิดว่าไม่มีโอกาสทองแบบนี้อีกแล้ว พวกเขาไม่ต้องลงมือทำเองเพียงแต่อาศัยกลไกของรัฐที่พล.อ.เปรมสั่งการได้ให้ทำแค่นั้น แล้วพวกเขาจะไม่ทำเชียวหรือ

ทหารใหญ่ที่หวังความก้าวหน้าในชีวิต ถ้าวันนี้ประชาชนประท้วงแล้วชนะ พวกเขาเองก็จบสิ้นในชีวิตของการรับราชการ เหล่านี้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเองทั้งสิ้น ต่อให้เมียน้อยหลังบ้านห้ามปรามไว้ จะเอาช้างมาฉุด พวกเขาไม่ฟังแน่ งานนี้อย่างไรก็ต้องออกมาสังหารประชาชนแน่นอน




เมื่อเปาบุ้นจิ้นถูกตัดสินประหารชีวิต



เมื่อเปาบุ้นจิ้นถูกตัดสินประหารชีวิต

คุณ ปูนนก

เปาบุ้นจิ้นเป็นภาพยนตร์ซีรี่ส์ที่น่าดูมากเรื่องหนึ่ง..ซึ่งเมื่อได้ดูแล้วก็ จะพากันชื่นใจกับความเที่ยงธรรมในการตัดสินคดีความของเปาบุ้นจื้น จนถึงกับกลายเป็นเอกลักษณ์ไปแล้วว่า ถ้าพูดถึง เปาบุ้นจิ้น หมายถึงการตัดสินคดีความอย่างเที่ยงธรรม ตรงไปตรงมา ไม่เอนเอียงเข้าข้างใด แม้ว่าตนเองจะต้องเสี่ยงภัย หรือได้รับโทษสถานใดก็ตาม.. แม้กระทั่งเคยตัดสินคดีพิพากษาลงโทษโบย ฮ่องเต้ ก็เคยทำมาแล้ว เช่นในคดี “สับเปลี่ยนรัชทายาท” (รายละเอียดเป็นอย่างไรลองไปหาซีดีมาดูกัน..รับรองสนุกครับ)....

ตลอดสัปดาห์นี้คงจะไม่มีข่าวใดที่ตื่นเต้นและน่าติดตามเท่ากับข่าวการที่ “ศาลอาญาแผนกผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง” จะอ่านคำพิพากษาเพื่อที่จะตัดสินคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทของท่านนายกทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่จะถึงนี้...การตัดสินพิพากษาในคดีนี้จะเป็นเสมือน “ฟางเส้นสุดท้ายที่หล่นลงบนหลังอูฐ” หรือไม่ จะต้องติดตามดูกันอย่างใกล้ชิด...

“เงินของผม ผมสร้างของผมมาตลอดชีวิต”... กับทฤษฎี “วัวตัวอ้วน” สิ่งใดจะเป็นที่ยอมรับของศาลฯ มากกว่ากัน...โดยทั้งสองฝ่ายต่างก็มีกองกำลังให้การสนับสนุนด้วยกันทั้งสิ้น...

คงไม่จำเป็นต้องท้าวความถึงที่มาที่ไปของการยึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทในครั้งนี้อีก เพราะมีข่าวสารในด้านนี้ออกมาจากทุกสื่อให้ได้พิจารณากันอย่างมากมายแล้ว แต่สิ่งทีน่าจะนำมาพิจารณาก็คือ ผลที่จะเกิดขึ้นตามมาภายหลังจากการตัดสินพิพากษาแล้วต่างหากว่าจะมีสิ่งใด เกิดขึ้นบ้าง...


ที่แน่ ๆ ก็คือการตัดสินในคดียึดทรัพย์นี้จะมีผลออกมาได้เพียง 4 แนวทางเท่านั้นคือ

1. ท่านนายกทักษิณไม่มีความผิดตามฟ้อง “ยกคำร้องคืนทรัพย์ทั้งหมดให้กับท่านนายกทักษิณ พร้อมดอกเบี้ย”

2. ท่านนายกทักษิณมีความผิดฐานใช้อำนาจรัฐทำให้ได้ทรัพย์เพิ่มมาโดยมิชอบ “ตัดสินยึดทรัพย์ส่วนที่ได้เกินมาโดยมิชอบให้ตกเป็นสมบัติของแผ่นดิน..ส่วนที่เป็นทรัพย์เดิมให้คืนไป”

3. ท่านนายกทักษิณใช้อำนาจรัฐในการฉ้อโกงและบิดเบือนให้ได้มาซึ่งทรัพย์อันมิชอบซึ่งทรัพย์นั้นไม่สามารถแบ่งแยกได้ “ตัดสินยึดทรัพย์ทั้งหมดให้ตกเป็นของแผ่นดิน”

4. ท่านนายกทักษิณใช้อำนาจรัฐในการฉ้อโกงและบิดเบือนให้ได้มาซึ่งทรัพย์อันมิชอบ และทำให้รัฐเกิดความเสียหาย “ตัดสินยึดทรัพย์ทั้งหมดให้ตกเป็นของแผ่นดิน และให้ท่านนายกทักษิณต้องเสียค่าปรับในการก่อให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้น”

การตัดสินในคดีนี้จะว่าไปแล้วเป็นเรื่องใหญ่และจะส่งผลกระทบมากกว่า การตัดสินคดียุบพรรคไทยรักไทย และพลังประชาชน ในอดีตเสียด้วยซ้ำ เพราะในขณะนั้นความขัดแย้งที่มีของคนในประเทศนั้นยังไม่ได้รับการพัฒนาไปจน ถึงขั้นการเตรียมพร้อมด้านมวลชนมากขนาดนี้ ในขณะที่มีการตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย และพลังประชาชน แม้จะมีความขัดแย้งและแสดง

การต่อต้าน แต่ก็ยังไม่มีการรวมกลุ่มชนได้หนาแน่นและเป็นระบบได้เช่นปัจจุบันนี้ การตัดสินในคดียึดทรัพย์ครั้งนี้เป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวางว่า เป็นเหมือนบันไดขั้นสุดท้ายในการปิดประตูเพื่อมิให้ ท่านนายกทักษิณจะสามารถกลับมามีพลังในการต่อสู้ทางการเมืองได้อีก เพราะอมาตย์มีความเชื่อว่า เมื่อท่านนายกทักษิณมีคดีความติดตัว ไม่สามารถกลับเข้าประเทศได้ และถูกยึดทรัพย์ ก็จะหมดอำนาจบารมีและไม่สามารถกลับมาต่อสู้ทางการเมืองได้อีก

ความคิดในรูปแบบนี้มิใช่ความคิดใหม่ เพราะกลุ่มอมาตย์ที่ถืออำนาจครอบครองประเทศนี้อยู่นั้นได้ใช้วิธีนี้ในการ กำจัดคู่แข่งทางการเมืองมาตลอดหลายสิบปี และก็เป็นผลสำเร็จเสียด้วย..

แต่ทว่าในครั้งนี้สถานการณ์ต่างไปโดยสิ้นเชิง เพราะข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ ได้ถูกเปิดเผยมากขึ้นจนกระทั่งประชาชนชาวบ้านโดยทั่วไปต่างก็เข้าถึง และเห็นถึงความจริงที่ได้เกิดขึ้นว่า...การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมา...การยุบพรรคไทยรักไทย, พลังประชาชน, การตั้งรัฐบาลนายกอภิสิทธิ์, รวมถึงการจะตัดสินคดียึดทรัพย์ในครั้งนี้ ล้วนมาจากสาเหตุก็คือ การที่กลุ่มอมาตย์ที่ถืออำนาจครอบครองประเทศนี้อยู่ ต้องการจะทำลายความเป็นประชาธิปไตย และสิทธิอำนาจของประชาชนในระดับล่างให้ต้องอยู่ภายใต้การปกครองตามระบอบ “อมาตยาธิปไตย” ไปจนชั่วลูกชั่วหลานนั่นเอง...

เวลานี้ทุกสายตา ของประชาชนกำลังจับจ้องไปยังวันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ เพราะไม่ว่าผู้พิพากษาจะตัดสินออกมาในรูปแบบใด ภาพที่สังคมได้ให้เครื่องหมายการค้าเอาไว้ว่าผู้พิพากษาคือ “เปาบุ้นจิ้น” นั้นจะต้องถูกทดสอบอย่างรุนแรง..... ซึ่งหมายความว่าวันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ จริงแล้ว ๆ ผู้ที่จะเข้าสู่การพิพากษามิใช่คดีของท่านนายกทักษิณ แต่กลับเป็นผู้พิพากษาทั้ง 9 คนที่เป็นองค์คณะของการตัดสินในคดีนี้ต่างหาก

1. เป็นไปไม่ได้ที่องค์คณะจะตัดสินว่าท่านนายกทักษิณไม่ได้กระทำผิดและ “ยกคำร้อง” เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่า คตส. ปปช. และองค์กรอิสระอื่น ๆ ที่ คณะรัฐประหารแต่งตั้งขึ้นมาก็จะกลายเป็นจำเลยของสังคมทันที..รวมถึงอมาตย์ ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังก็จะต้องได้รับผลกระทบไปด้วย ซึ่งไม่ใช่เป้าหมายของคณะอมาตย์ที่ต้องการล้มล้างอำนาจของท่านนายกทักษิณ... เหตุนี้การตัดสินในกรณีที่ 1 จึงเลิกคิดไปได้เลย ไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน

2. การตัดสินในกรณีที่สองคือ “ยึดทรัพย์บางส่วน” กรณีนี้ก็ยากที่จะเกิดขึ้นได้เช่นกัน เพราะในที่สุดแล้วก็จะเป็นเหมือนการ “ตีงูเพียงแค่หลังหัก” ทำให้ท่านนายกทักษิณยังคงมีกำลังที่จะกลับมาต่อสู้ทางการเมืองได้อีก...ซึ่งก็มิใช่เป้าหมายที่คณะอมาตย์ต้องการเช่นกัน

3. การตัดสินโดย “ยึดทรัพย์ทั้งหมด” มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้นตามแนวทางนี้ เพราะเป็น “ธง” ที่ถูกคณะรัฐประหารและกลุ่มอมาตย์ได้วางธงเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว.. เพราะแนวทางนี้เป็นแนวทางที่เชื่อกันว่าจะทำให้ท่านนายกทักษิณหมดหนทางที่จะ กลับมาต่อสู้เพื่อทวงอำนาจคืนได้อีก

4. ตัดสินในกรณีสุดท้ายคือ “ยึดทรัพย์ทั้งหมด และยังให้ท่านนายกทักษิณต้องเสียค่าปรับเพื่อเป็นค่าเสียหายต่อประเทศชาติอีกด้วย” โอกาสที่องค์คณะผู้พิพากษาจะตัดสินออกมาทำนองก็มีความเป็นไปได้สูงเช่นกัน...เพราะเป็นเสมือนการ “ผูกมัด” ท่านนายกทักษิณเอาไว้ มิให้มีโอกาสกลับมาต่อสู้ได้อีก โดยเอาเรื่องทางคดีความปิดกั้นเอาไว้...

แต่ไม่ว่าองค์คณะจะตัดสินในคณะนี้เช่นไร ก็เสมือนกับว่า “เปาบุ้นจิ้นในคดีนี้ได้เข้าสู่การพิพากษาตัดสินประหารชีวิต” ไปเรียบร้อยแล้ว... เพราะถ้าผลการตัดสินออกมาในทางที่ 1 หรือ 2 กลุ่มอมาตย์ก็จะไม่พอใจและจะใช้อำนาจมืดในการเข้าข่มขู่, คุกคาม เพื่อจะให้เป็นไปตามธงที่ตนเองตั้งเอาไว้ให้ได้.... แต่ทำนองเดียวกันถ้าองค์คณะผู้พิพากษาตัดสินออกมาในทางที่ 3 หรือ 4 ก็จะยิ่งเหมือนกับการเติมเชื้อแห่งความไม่พอใจ และความอยุติธรรมให้ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งกำลังของประชาชนของผู้ที่รักประชาธิปไตยก็นับวันจะเติบโตแกร่งกล้ามาก ขึ้นทุกวัน... ความขัดแย้งก็จะยิ่งรุนแรงและส่อที่จะนำไปสู่การปะทะกันด้วยกำลัง.. ซึ่งเชื่อได้อย่างแน่นอนว่าในที่สุดแล้ว “ประชาชนก็จะต้องได้รับชัยชนะในบั้นปลายที่สุดอย่างแน่นอน” และเมื่อถึงเวลานั้น องค์คณะชุดนี้ก็จะถูกนำตัวเข้ามาดำเนินการอยู่ดี

ด้วยเหตุนี้วันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ ผู้ที่จะเข้าสู่การตัดสินพิพากษาจึงมิใช่ท่านนายกทักษิณ หรือทรัพย์สินของท่าน แต่กลับกลายเป็น องค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คนที่ต้องตัดสินในคดีนี้ต่างหาก... ในภาพยนตร์ “เปาบุ้นจิ้นเมืองจีน” กล้าหาญและสัตย์ซื่อ แม้กระทั่งยอมที่จะให้ตนเองต้องรับอันตราย ถ้าการตัดสินนั้นเป็นไปตามกฏหมายอย่างเที่ยงธรรม... แต่วันนี้ “เปาบุ้นจิ้นเมืองไทย” จะกล้าหาญพอที่จะเสี่ยงภัยอันตราย เพื่อการผดุงเอาไว้ถึงความเที่ยงธรรมตามกฏหมายหรือไม่ ? คงจะต้องดูกันในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้

แน่นอนว่าคนที่ใจระทึกที่สุดมิใช่ท่านนายกทักษิณ แต่เป็นองค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คนต่างหาก... ขอให้ทุกท่านโชคดี....

            


ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน